ไอบีเอ็มรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 3 ปี 2548

อาร์มองค์, นิวยอร์ก–(บิสิเนส ไวร์)–17 ต.ค. 2548 บริษัทไอบีเอ็มแถลงว่า:
— กำไรต่อหุ้นสามัญปรับลดอยู่ที่ 0.94 ดอลลาร์ ซึ่งรวมถึง 0.32 ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลดสำหรับค่าใช้จ่าย ในการจ่ายภาษีกลับประเทศ “มาตุภูมิ” หากไม่รวมค่าใช้จ่ายดังกล่าว ไอบีเอ็มจะมีกำไรต่อหุ้นปรับลด 1.26 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาส 3 ของปี 2547 ซึ่งไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเีดียว (non-recurring items)

— บริษัทมีรายรับรวม 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลง 8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว แต่เพิ่ม ขึ้น 4% ถ้าไม่มีผลกระทบจากธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไปแล้ว

บริษัทไอบีเอ็มแถลงในวันนี้ว่า กำไรต่อหุ้นสามัญปรับลดในไตรมาส 3 ปี 2548 อยู่ที่ 0.94 ดอลลาร์จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ ซึ่งรวมถึง 32 เซนต์ต่อหุ้นสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจำนวน 525 ล้านดอลลาร์เพื่อการจ่ายภาษีอันเนื่องมาจากการส่งผลกำไรในต่างประเทศกลับประเทศตามที่วางแผนไว้ ขณะที่กำไรต่อหุ้นปรับลดงวดไตรมาส 3 ปี 2548 ซึ่งไม่รวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียว อยู่ที่ 1.26 ดอลลาร์ ส่วนกำไรต่อหุ้นปรับลดในไตรมาส 3 ของปีที่แล้วอยู่ที่ 0.92 ดอลลาร์ ซึ่งรวมถึง 11 เซนต์ต่อหุ้นจากค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษีครั้งเีดียวมูลค่า 320 ล้านดอลลาร์สำหรับการยุติการฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องเงินบำนาญของไอบีเอ็ม ซึ่งถ้าไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเหล่านั้น กำไรต่อหุ้นปรับลดที่ 1.26 ดอลลาร์ในไตรมาส 3 ปี 2548 จะเพิ่มขึ้น 23 เซนต์ หรือ 22% เทียบกับกำไรต่อหุ้นปรับลด 1.03 ดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

รายได้ในไตรมาส 3 ของปีนี้จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่มีจำนวน 1.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวสำหรับภาษีที่เกี่ยวกับแผนการส่งกำไรในต่างประเทศกลับประเทศภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายการสร้างงานในอเมริกาปี 2547 (มาตุภูมิ) รายได้ดังกล่าวเทียบกับ 1.6 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ของปีก่อน ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษีครั้งเดียวสำหรับการยุติคดีที่เรียกร้องเงินบำนาญ ซึ่งถ้าไม่มีค่าใช้จ่ายครั้งเดียวดังกล่าว รายได้จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่จะอยู่ที่ 2.0 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ปีนี้ เพิ่มขึ้น 292 ล้านดอลลาร์ หรือ 17% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

รายรับรวมสำหรับไตรมาส 3 ปีนี้ที่ 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์นั้นลดลง 8% (8% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) จากไตรมาส 3 ของปีก่อน ซึ่งรวมถึงรายรับจากธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไปแล้ว แต่ถ้าไม่รวมรายรับจากการขายธุรกิจพีซี รายรับจะเพิ่มขึ้น 4% (4% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) เทียบกับไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว นายซามูเอล เจ ปาลมิซาโน่ ประธานและซีอีโอของไอบีเอ็มกล่าวว่า “ไอบีเอ็มมีผลประกอบการที่ดีอีก 1 ไตรมาส นั่นแสดงถึงความแข็งแกร่งของรูปแบบธุรกิจของเราทั้งฮาร์ดแวร์, ซอฟท์แวร์และบริการต่างๆ เรายังคงมองเห็นประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ที่เราได้ดำเนินการในหลายไตรมาสที่ผ่านมา การปรับโครงสร้างของเราและฝ่ายบริหารที่ปรับโฉมใหม่ของเราในยุโรปกำลังจะเริ่มให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เราเห็นกำไรต่อหุ้นปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในไตรมาสนี้ และธุรกิจต่างๆที่มีความสำคัญต่อแผนกลยุทธ์ของเรา ซึ่งได้แก่ middleware, เซิร์ฟเวอร์แบบ midrange และบริการการเปลี่ยนแปลงเพื่อประสิทธิผลทางธุรกิจ โดยเฉพาะในบริการวิศวกรรมและเทคโนโลยีของเรานั้น มีผลการดำเนินงานที่ดีมาก โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก เราพอใจกับการตอบรับของลูกค้าต่อเมนเฟรมใหม่รุ่น zSeries และไอบีเอ็มก็อยู่ในสถานะที่เหมาะสมในธุรกิจไมโครอิเล็คทรอนิคส์ของเรา ขณะที่ธุรกิจเครื่องเล่นเกมกำลังเดินหน้าไปสู่ผลิตภัณฑ์แห่งยุคอนาคต ลูกค้าของเราจะใช้ความสามารถที่มีหนึ่งเดียวของไอบีเอ็มในการประยุกต์ใช้ทักษะและโซลูชั่นที่ทันสมัยและมีคุณค่าสูงเพื่อเปลี่ยนแปลงธุรกิจและอุตสาหกรรมของพวกเขา”

รายรับในไตรมาส 3 ปีนี้เพิ่มขึ้น 4% (4% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) ถ้าไม่รวมธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไปแล้ว โดยในอเมริกา รายรับไตรมาส 3 อยู่ที่ 9.6 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 5% ตามที่ได้รายงานไป (เพิ่มขึ้น 5% เมื่อปรับตามสกุลเงินและพีซี) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายรับจากยุโรป/ตะวันออกกลาง/แอฟริกาอยู่ที่ 6.9 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 6% (เพิ่มขึ้น 5% เมื่อปรับตามสกุลเงินและพีซี) ขณะที่รายรับในเอเชีย-แปซิฟิกลดลง 17% (2% เมื่อปรับตามสกุลเงินและพีซี) มาอยู่ที่ 4.3 พันล้านดอลลาร์ และรายรับจากกลุ่ม OEM อยู่ที่ 814 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12% เทียบกับไตรมาส 3 ของปีก่อน

ถ้าไม่มีธุรกิจพีซี รายรับในภาคอุตสาหกรรม 3 กลุ่มจาก 5 กลุ่มของไอบีเอ็มเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งนำโดยรายรับที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของกลุ่มสาธารณะและการจัดจำหน่าย รวมทั้งยอดขายให้แก่ธุรกิจขนาดย่อมและขนาดกลาง ส่วนรายรับของไอบีเอ็มสำหรับบริการการเปลี่ยนแปลงเพื่อประสิทธิผลทางธุรกิจเพิมขึ้นกว่า 35% ในไตรมาส 3 ปีนี้ (และเพิ่มขึ้นกว่า 30% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้)

รายรับจากบริการทั่วโลก ซึ่งรวมถึงการซ่อมบำรุง เพิ่มขึ้น 3% (3% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) สู่ 1.17 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ปีนี้ โดยไอบีเอ็มได้เซ็นสัญญาบริการคิดเป็นมูลค่ารวม 1.10 หมื่นล้านดอลลาร์ และปิดไตรมาส 3 ด้วยบริการที่มีอยู่ในมือ (backlog) ซึ่งรวมถึงการจ้างบริการจากหน่วยงานอื่น (Strategic Outsourcing), บริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ, บริการเทคโนโลยีแบบครบวงจรและซ่อมบำรุงคิดเป็นมูลค่า 1.13 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3 พันล้านดอลลาร์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

รายรับจากฮาร์ดแวร์ลดลง 32% (33% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) มาอยู่ที่ 5.1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ปีนี้ เมื่อเทียบกับ 7.5 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรวมถึงรายรับจากธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไปแล้ว ส่วนรายรับจากฮาร์ดแวร์ที่ไม่มีธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไปแล้วเพิ่มขึ้น 7% (6% เมื่อปรับตามสกุลเงิน)

รายรับจากฮาร์ดแวร์สำหรับกลุ่มระบบและเทคโนโลยี (S&TG) มีมูลค่ารวม 5.0 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ปีนี้ เพิ่มขึ้น 7% โดยรายรับจากผลิตภัณฑ์ eServer ในกลุ่ม S&TG นั้นเพิ่มขึ้นเนื่องจากเครื่องเซิร์ฟเวอร์ iSeries midrange ซึ่งเพิ่มขึ้น 25 % จากเซิร์ฟเวอร์ pSeries UNIX ที่เพิ่มขึ้น 15% และเซิร์ฟเวอร์ xSeries ที่เพิ่มขึ้น 11% แต่รายรับจากผลิตภัณฑ์เมนเฟม zSeries ลดลง 4 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการส่งมอบการใช้กำลังประมวลผล zSeries ซึ่งมีหน่วยเป็น MIPS (ล้านคำสั่งต่อวินาที) เพิ่มขึ้น 18% นอกจาก eServers แล้ว รายรับจากระบบจัดเก็บข้อมูลและไมโครอิเล็คทรอนิคส์เพิ่มขึ้น 11% และ 14% ตามลำดับด้วย

รายรับจากซอฟท์แวร์อยู่ที่ 3.8 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% (5% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) เทียบกับไตรมาส 3 ของปีก่อน ขณะที่รายรับจากสินค้ากลุ่ม middleware ของไอบีเอ็ม อันได้แก่ WebSphere, DB2, Tivoli, Lotus และ Rational อยู่ที่ 3.0 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6% เทียบกับไตรมาส 3 ของปีก่อน ขณะที่รายรับจากระบบปฏิบัติการลดลง 2% สู่ 588 ล้านดอลลาร์ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับรายรับสินค้าซอฟท์แวร์ในตระกูล WebSphere ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการกับความหลากหลายของขั้นตอนธุรกิจโดยใช้มาตรฐานแบบเปิดเพื่อเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่น, ข้อมูลและระบบปฏิบัติการเข้าด้วยกันนั้น เพิ่มขึ้น 14% ส่วนรายรับสำหรับซอฟท์แวร์การจัดการข้อมูลเพิ่มขึ้น 10% เทียบกับรายรับที่เพิ่มขึ้น 4% ของสินค้าซอฟท์แวร์ในตระกูลฐานข้อมูล DB2 ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถใช้ข้อมูลตามความต้องการได้ ขณะที่รายรับจากซอฟท์แวร์ Tivoli ซึ่งเป็นซอฟท์แวร์พื้นฐานที่ทำให้ลูกค้าสามารถบริหารเครือข่ายและการจัดเก็บข้อมูลเป็นส่วนกลางนั้น เพิ่มขึ้น 8% และรายรับสำหรับซอฟท์แวร์ Lotus ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถทำงานร่วม กันและส่งข้อความในการจัดการการสื่อสารและความรู้แบบเรียลไทม์นั้น เพิ่มขึ้น 12% สำหรับรายรับจากซอฟท์แวร์ Rational ซึ่งเป็นเครื่องมือครบวงจรที่ใช้ปรับปรุงขั้นตอนการพัฒนาซอฟท์แวร์นั้น เพิ่มขึ้น 12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้วยเหตุนี้ ไอบีเอ็มจึงคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 ในสินค้าประเภทซอฟท์แวร์ที่ใช้งานร่วมกัน, การบริหารระบบและซอฟท์แวร์ความปลอดภัย, บริการเว็บและการจัดการข้อมูล

อย่างไรก็ดี รายรับจากบริการโกลบอล ไฟแนนซิ่ง ลดลง 6% (7% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) ในไตรมาส 3 ปีนี้ มาอยู่ที่ 600 ล้านดอลลาร์ ส่วนรายรับจากการลงทุนในธุรกิจ/ประเด็นอื่นๆ ซึ่งรวมถึงโซลูชั่นไอทีที่เฉพาะด้านอุตสาหกรรมเช่น ซอฟท์แวร์การจัดการวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้น 9% (9% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) เป็น 302 ล้านดอลลาร์ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ไอบีเอ็มมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นรวม 40.6% ในไตรมาส 3 ปีนี้ เทียบกับ 36.5% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรวมถึงธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไป แต่ถ้าไม่รวมธุรกิจพีซี อัตราส่วนกำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 ปีที่แล้วจะอยู่ที่ 40.0% เทียบกับ 40.6% ในไตรมาส 3 ปีนี้

ค่าใช้จ่ายทั้งหมดและรายได้อื่นๆลดลง 8% สู่ 5.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3% ถ้าไม่มีค่าใช้จ่าย 320 ดอลลาร์ของปีก่อนสำหรับการยุติคดี ขณะที่ SG&A มีค่าใช้จ่าย 4.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลง 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ถ้าไม่มีค่าใช้จ่ายในการยุติคดีในปีก่อน รายจ่ายของ SG&A จะลดลง 4% อันเนื่องมาจากการขายธุรกิจพีซี ส่วนรายจ่ายของ RD&E อยู่ที่ 1.45 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับ 1.47 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากทรัพย์สินทางปัญญาและการพัฒนาการค้าลดลงสู่ 213 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 259 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ (รายได้) และรายจ่ายอื่นๆคือรายได้ 99 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ของปีนี้ เทียบกับรายได้ 55 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

อัตราภาษีที่ใช้ในการคำนวณของไอบีเอ็มในไตรมาส 3 ปีนี้อยู่ที่ 48.0% เทียบกับ 28.8% ในช่วงเดียว กันของปีที่แล้ว ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอัตราภาษีดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้นที่ 525 ล้านดอลลาร์อันเนื่องมาจากแผนการส่งผลกำไรในต่างประเทศกลับประเทศในไตรมาส 3 ของปีนี้และผลกระทบด้านภาษีที่เกี่ยวกับการยุติคดีในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งถ้าไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวดังกล่าว อัตราภาษีในไตรมาส 3 ปีนี้จะอยู่ที่ 30.0% เทียบกับ 30.1% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

การซื้อคืนหุ้นมีมูลค่ารวมประมาณ 1.7 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ปีนี้ ขณะที่จำนวนหุ้นสามัญที่ปรับลดคงเหลือจากการเฉลี่ยโดยวิธีถ่วงน้ำหนักในไตรมาส 3 ปีนี้ อยู่ที่ 1.62 พันล้านหุ้น เทียบกับ 1.70 พันล้านหุ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ณ วันที่ 30 ก.ย. 2548 มีหุ้นสามัญพื้นฐานคงเหลือ 1.58 พันล้านหุ้น

ไอบีเอ็มมีเงินสด 8.3 พันล้านดอลลาร์ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2548 และงบดุลของบริษัทยังคงแข็งแกร่งอยู่ ขณะที่บริษัทอยู่ในสถานะที่เหมาะสมที่จะฉวยประโยชน์จากโอกาสต่างๆ

สำหรับหนี้สิน ซึ่งรวมถึงกลุ่มโกลบอล ไฟแนนซิ่ง มีมูลค่ารวม 2.14 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับ 2.29 หมื่นล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2547 และจากมุมมองของฝ่ายบริหาร สัดส่วนหนี้ต่อทุนของธุรกิจที่ใช่กลุ่มโกล บอล ไฟแนนซิ่ง อยู่ที่ 3.1 % ณ วันที่ 30 ก.ย. 2548 และหนี้สินของกลุ่มโกลบอล ไฟแนนซิ่งลดลง 1.8 พันล้านดอลลาร์จากสิ้นปี 2547 มาอยู่ที่ 2.05 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ต่อทุนอยู่ที่ 6.8 ต่อ 1

ผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปี 2548 จนถึงขณะนี้
รายไ้ด้จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ในช่วง 9 เดือนแรกงวดสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2548 อยู่ที่ 4.8 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับ 4.7 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรวมถึงรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงเวลาดังต่อไปนี้
— ตั้งแต่ต้นปี 2548 จนถึงขณะนี้:
– มีค่าใช้จ่าย 525 ล้านดอลลาร์สำหรับการจ่ายภาษีที่เกี่ยวกับการส่งกำไรในต่างประเทศกลับประเทศ
– ค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษีที่เพิ่มขึ้นซึ่งอยู่ที่ 1.7 พันล้านดอลลาร์สำหรับการปรับโครงสร้าง
– รายได้ก่อนหักภาษีเพิ่มขึ้น 1.1 พันล้านดอลลาร์จากการขายธุรกิจพีซี
– รายได้อื่นๆ 775 ล้านดอลลาร์ก่อนหักภาษีอันเนื่องมาจากข้อตกลงยุติคดีกับบริษัทไมโครซอฟท์

— ตั้งแต่ต้นปี 2547 จนถึงขณะนี้:
– ค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษี 320 ล้านดอลลาร์สำหรับการยุติการเรียกร้องเงินบำนาญของไอบีเอ็ม

กำไรต่อหุ้นปรับลดจากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 2.92 ดอลลาร์ เทียบกับ 2.72 ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลดในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งถ้าไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากทั้ง 2 ช่วงเวลา กำไรต่อหุ้นปรับลดจะอยู่ที่ 3.22 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 14% เทียบกับกำไรต่อหุ้นปรับลดที่ 2.83 ดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนรายรับจากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งรวมรายรับจากธุรกิจพีซี 2.9 พันล้านดอลลาร์เฉพาะในช่วง 4 เดือนแรกของปี อยู่ที่ 6.67 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลง 3% (5% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) เทียบกับ 6.86 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 9 เดือนแรกของปีที่แล้ว ซึ่งถ้าไม่มีรายรับจากธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไปแล้ว รายรับจะอยู่ที่ 6.38 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% (3% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) เทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปีที่แล้ว

สำหรับการดำเนินงานโดยรวม รายได้สุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งรวมถึงผลขาดทุน 27 ล้านดอล ลาร์จากธุรกิจที่หยุดประกอบการแล้วนั้น อยู่ที่ 4.75 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.90 ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลด เทียบกับรายได้สุทธิ 4.65 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 9 เดือนแรกของปีที่แล้ว หรือ 2.72 ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลด ซึ่งรวมถึงผลขาดทุน 3 ล้านดอลลาร์จากธุรกิจที่หยุดประกอบการแล้ว

ติดต่อ: ไอบีเอ็ม
เอ็ดเวิร์ด บาร์บินี่, 914-499-6565
อีเมล์: [email protected]