28 พฤศจิกายน 2548 – KCAR ปลื้มนักลงทุนแห่จองซื้อหุ้นหมดภายใน 1 วัน มั่นใจนักลงทุนเข้าใจปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ชี้จุดเด่นอยู่ที่การเติบโตอย่างสม่ำเสมอของรายได้ และกำไร โดยเฉพาะตัวธุรกิจที่สามารถเติบโตสวนทางภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ฐานลูกค้ามีความได้เปรียบเพราะเป็นองค์กรขนาดใหญ่กว่า 80% เผยพร้อมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุน เตรียมเข้าเทรดวันที่ 1 ธ.ค. นี้
นายพิเทพ จันทรเสรีกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ KCAR ผู้นำด้านการให้เช่ารถยนต์ เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้กำหนดให้มีการเปิดจำหน่ายหุ้นสามัญ KCAR (Initial Public Offering: IPO) ในระหว่างวันที่ 24-25 พฤศจิกายน 2548 จำนวนรวม 50 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 4.4 บาท ผ่านบริษัทซึ่งเป็นตัวแทนการจัดจำหน่ายจำนวน 7 บริษัทหลักทรัพย์ นำโดย บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ปรากฏว่าหุ้นของ KCAR ได้รับความสนใจเกินคาด โดยสามารถจำหน่ายได้หมดภายในวันแรกที่เปิดจอง ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างมากในภาวะที่เศรษฐกิจ และตลาดหุ้นมีการชะลอตัวลง แต่ตลาดรถยนต์เช่ายังมียอดเติบโตสูงต่อเนื่อง
การที่หุ้นของ KCAR ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก น่าจะมาจากปัจจัยพื้นฐานโดยรวมของบริษัทฯ ที่มีศักยภาพ และแนวโน้มการเติบโตที่ดีมาก โดยผลประกอบการที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ และกำไรอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายปี ไม่ใช่มามีกำไรในช่วงที่จะเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ยังมีข้อได้เปรียบทางด้านการแข่งขัน และฐานของลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นองค์กรขนาดใหญ่กว่า 80% ซึ่งทำให้มีเสเถียรภาพทางการด้านเงินสูง
“ในภาวะตลาดเช่นนี้การที่หุ้น KCAR สามารถจำหน่ายได้หมดอย่างรวดเร็วถือว่าเราได้รับการตอบรับที่ดี โดยนักลงทุนส่วนใหญ่เข้าใจในปัจจัยพื้นฐานที่ดีของบริษัทฯ คาดว่าหุ้น KCAR จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนที่ชอบหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐาน และผลตอบแทนทางการลงทุนที่ดี และมีความสม่ำเสมอทั้งในด้านของรายได้และผลกำไร” นายพิเทพ กล่าว
นายพิเทพ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ กำหนดวันเข้าซื้อขายหุ้น KCAR ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (First Day Trade) อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ในหมวดสถาบันการเงิน (Finance) โดยเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้คืนหนี้เงินกู้บางส่วน รวมถึงการใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และลงทุนในธุรกิจเพิ่มในอนาคตซึ่งการจำหน่ายหุ้นในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 250 ล้านบาท จากเดิม 200 ล้านบาท