ปัจจุบันอุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทยกำลังหวาดวิตกว่าเมื่อจีนมีปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก ทำให้หลายประเทศงดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่จากจีน แต่จีนจะต้องหาทางระบายผลิตภัณฑ์ไก่เหล่านี้ออกสู่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลไทยและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องต้องเร่งหามาตรการควบคุมการนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่จากจีน ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่จากไทย รวมทั้งเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทยด้วย นอกจากนี้ในอนาคตภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-จีนนั้นทางฝ่ายไทยเริ่มลดภาษีนำเข้าไก่แปรรูปให้จีนตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2548 เหลือร้อยละ 20 จากอัตราภาษีปกติที่เรียกเก็บร้อยละ 30 และจะลดลงเป็นร้อยละ 0 ภายในปี 2553 ซึ่งน่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้จีนส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่มายังไทย หลังจากที่ไทยไม่เคยมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่จากจีน อย่างไรก็ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-จีนก็ยังเป็นปัจจัยหนุนให้ไทยได้เปรียบในการส่งออกไก่และผลิตภัณฑ์ไปยังจีนเช่นกัน กล่าวคือจีนลดภาษีนำเข้าไก่แปรรูปจากไทยเหลือร้อยละ 15 จากที่อัตราเดิมร้อยละ 17 และจะลดลงเหลือร้อยละ 0 ในปี 2553 ส่วนภาษีนำเข้าเนื้อไก่สดแช่เย็นแช่แข็งนั้นลดภาษีเหลือร้อยละ 0 โดยความหวังของการส่งออกไปยังจีนอยู่ที่ไทยจะต้องได้รับการประกาศให้เป็นเขตปลอดไข้หวัดนก
ปริมาณการผลิตไก่เนื้อ ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
จีนเป็นประเทศที่มีการขยายตัวของการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่อย่างรวดเร็วที่สุดในโลก โดยในช่วงเวลาหนึ่งทศวรรษการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของจีนเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว ซึ่งตลาดที่จีนประสบความสำเร็จในการขยายการส่งออกมากที่สุดคือ ญี่ปุ่น โดยจีนเป็นคู่แข่งสำคัญในการส่งออกไก่แปรรูปของไทยในตลาดนี้ และอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ในจีนยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการเข้าไปร่วมลงทุนของนักลงทุนชาวต่างประเทศกับรัฐวิสาหกิจของจีน ซึ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเลี้ยงไก่ในจีนไปเป็นลักษณะการเลี้ยงในลักษณะตลาดข้อตกลง และมีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเลี้ยงมากขึ้น รวมทั้งยังมีปัจจัยหนุนคือ กำลังแรงงาน และเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัย ตลาดในประเทศขนาดใหญ่ที่รองรับปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น และความต้องการที่ยังคงเพิ่มขึ้นของตลาดในประเทศเพื่อนบ้านของจีนในเอเชีย รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลจีนที่สนับสนุนอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ โดยเฉพาะในเขตแม่น้ำเหลือง เนื่องจากเล็งเห็นว่าไก่นั้นมีอัตราการแลกเนื้อสูงกว่าปศุสัตว์ประเภทอื่นๆ
คาดการณ์ว่าในปี 2549 ปริมาณการผลิตไก่เนื้อของจีนจะเท่ากับ 10.4 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.5 อันเนื่องจากปัจจัยหนุนจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ลดลง และมาตรการส่งเสริมการขยายการผลิตและการส่งออกไก่เนื้อ
อนาคตของธุรกิจการเลี้ยงไก่ในจีนนับว่าแจ่มใสอย่างมาก โดยมีกลยุทธ์การค้าผลิตภัณฑ์ไก่ของจีนในปัจจุบัน คือ “ซื้อถูก ขายแพง” กล่าวคือ จีนจะเน้นการนำเข้าเนื้อไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ปีกไก่ น่องไก่ อุ้งเท้าไก่ เครื่องใน ฯลฯ ซึ่งมีราคาถูกและเป็นที่นิยมบริโภคของคนจีน แต่จะส่งออกชิ้นส่วนไก่ที่มีราคาแพงโดยเฉพาะส่วนเนื้อหน้าอก และไก่แปรรูปไปยังตลาดญี่ปุ่น และฮ่องกง รวมทั้งกำลังขยายตลาดไปยังตะวันออกกลางและยุโรปตะวันออก ปัจจุบันจีนส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ประมาณ 1.31 ล้านตันต่อปี โดยการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผลิตภัณฑ์ไก่ส่งออก…ญี่ปุ่นและฮ่องกงเป็นตลาดส่งออกสำคัญ
คาดการณ์ว่าในปี 2549 การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของจีนเท่ากับ 470,000 ตัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 31.0 ตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของจีนที่สำคัญในปัจจุบัน คือ ญี่ปุ่นและฮ่องกง ซึ่งการส่งออกไปยังทั้งสองประเทศนี้คิดเป็นร้อยละ 81.0 ของปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมดของจีน ตลาดอื่นๆที่มีความสำคัญรองลงมาได้แก่ รัสเซียและเกาหลีใต้ ซึ่งมีนักลงทุนจากประเทศเหล่านี้เข้าไปตั้งโรงงานในจีน ส่วนตลาดตะวันออกกลางและยุโรปตะวันออกก็เป็นตลาดที่จีนจะเจาะขยายตลาดเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอิรัก คูเวต ซาอุดิอาระเบีย อาร์เมอร์เนีย จอร์เจีย และอาร์เซอร์ไบจัน
อุตสาหกรรมการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของจีนนับว่ามีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากการปรับปรุงมาตรฐานการผลิต โดยกำจัดปัญหาเกี่ยวกับสุขอนามัยต่างๆ โดยเฉพาะการตกค้างของสารเคมีในผลิตภัณฑ์ และการปนเปื้อนในระหว่างขั้นตอนการผลิต นอกจากนี้จีนประสบความสำเร็จอย่างมากในการขยายตลาดไปยังประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันโรงงานผลิตภัณฑ์ไก่เนื้อในจีน 36 โรงงานได้รับการรับรองในการส่งออกไปยังญี่ปุ่น ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกในบางพื้นที่ในจีน โรงงานเหล่านี้ก็ยังสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ไปยังตลาดญี่ปุ่นได้ นอกจากนี้โรงงานผลิตภัณฑ์ไก่เนื้อในจีนเริ่มหันมาผลิตไก่แปรรูปมากขึ้น ทำให้จีนสามารถขยายการส่งออกไก่แปรรูปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2546 กล่าวคือ ในปี 2548 จีนส่งออกไก่แปรรูป 203,847 ตัน มูลค่า 640 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับในปี 2546 ที่มีการส่งออกเพียง 153,000 ตัน มูลค่า 447 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของจีนนั้นเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในการส่งออกไก่แปรรูปไปยังตลาดญี่ปุ่น กล่าวคือ ในปี 2548 ญี่ปุ่นนำเข้าไก่แปรรูป 329,088 ตัน แยกเป็นการนำเข้าจากจีน 178,410 ตันหรือร้อยละ 54.2 และนำเข้าจากไทย 145,983 ตัน หรือร้อยละ 44.3 ที่เหลือเป็นการนำเข้าจากบราซิล สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ แม้ว่าจีนและไทยจะครองตลาดไก่แปรรูปเกือบทั้งหมดในญี่ปุ่น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าตั้งแต่ปี 2547 ญี่ปุ่นเริ่มหันไปนำเข้าไก่แปรรูปจากบราซิลเพิ่มขึ้น กล่าวคือ ในปี 2548 ญี่ปุ่นนำเข้าไก่แปรรูปจากบราซิลเท่ากับ 3,489 ตัน จากที่เคยนำเข้าเพียง 414 ตันในปี 2546 ทั้งนี้ปัจจัยหนุนสำคัญคือ บราซิลเป็นแหล่งผลิตไก่เนื้อที่สำคัญของโลกที่ยังไม่มีรายงานการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก และราคาไก่แปรรูปของบราซิลนับว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าแหล่งนำเข้าอื่นๆ ทำให้บราซิลก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยและจีนในตลาดญี่ปุ่น
การส่งออกไปจีนจะกระเตื้อง…หลังไทยปลอดไข้หวัดนก
อย่างไรก็ตามสำหรับธุรกิจไก่เนื้อนั้นในด้านหนึ่งจีนเป็นคู่แข่งที่สำคัญในการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่เนื้อของไทยในตลาดโลก แต่จีนก็เป็นตลาดที่นำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่เนื้อบางประเภทที่ไทยไม่ควรมองข้ามด้วยเช่นกัน เนื่องจากคนจีนนิยมบริโภคเนื้อไก่ส่วน Mid-joints ปีก น่อง เครื่องใน คอไก่ และอุ้งเท้า คาดการณ์ว่าในปี 2549 จีนนำเข้าไก่เนื้อ 275,000 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 25.0 เนื่องจากจีนมีการลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่ โดยเฉพาะปีกไก่ และการชะลอตัวลงของอัตราการขยายตัวของการเลี้ยงไก่ในจีน อันเป็นผลมาจากปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก ในปัจจุบันผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่สำคัญของโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ สหภาพยุโรป บราซิล และไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อตลาดจีน และยังคงวางตำแหน่งจีนเป็นตลาดนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่ที่สำคัญ โดยเฉพาะผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่จากสหรัฐฯสามารถสร้างผลกำไรจากผลิตภัณฑ์ไก่ซึ่งไม่เป็นที่นิยมบริโภคในสหรัฐฯ แต่สามารถส่งออกมายังตลาดจีนได้อย่างมหาศาล ปัจจุบันสหรัฐฯส่งผลิตภัณฑ์ไก่มายังตลาดจีนคิดเป็นร้อยละ 25 ของการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมดของสหรัฐฯ ดังนั้นสหรัฐฯจึงครองสัดส่วนตลาดนำเข้ามากเป็นอันดับหนึ่งในจีน รองลงมาคือ บราซิล อาร์เจนตินาร์ แคนาดา ชิลี ฝรั่งเศส และไทย ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ จีนนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่จากสหรัฐฯ บราซิล และแคนาดาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่การนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่จากไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-จีนตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2548 จีนลดภาษีนำเข้าไก่แปรรูปจากไทยเหลือร้อยละ 15 จากที่อัตราเดิมร้อยละ 17 และจะลดลงเหลือร้อยละ 0 ในปี 2553 ส่วนภาษีนำเข้าเนื้อไก่สดแช่เย็นแช่แข็งนั้นลดภาษีเหลือร้อยละ 0 ทำให้คาดว่าอนาคตการส่งออกทั้งไก่แปรรูปและเนื้อไก่สดแช่เย็นแช่แข็งของไทยไปยังตลาดจีนน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกชิ้นส่วนไก่ เช่น ปีก ขาไก่ อุ้งเท้า น่องไก่ เป็นต้น ซึ่งไทยเคยมีการส่งออกชิ้นส่วนของไก่เหล่านี้ไปยังจีน ผ่านทางเมืองคุนหมิง แต่หลังจากเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกการนำเข้าเนื้อไก่จากไทยลดลงอย่างมาก คาดว่าหลังจากที่ไทยได้รับการประกาศให้เป็นเขตปลอดโรคไข้หวัดนกแล้วการส่งออกไปยังจีนน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ไปยังจีนนั้นยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศคู่แข่งที่ครองตลาดส่วนใหญ่คือ สหรัฐฯ และบราซิล
บทสรุป
จีนนับว่าเป็นคู่แข่งและคู่ค้าที่น่าจับตามองสำหรับสินค้าไก่และผลิตภัณฑ์ เนื่องจากจีนมีการขยายตัวของปริมาณการผลิตไก่เนื้ออย่างรวดเร็วตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้จีนเริ่มมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ไปแข่งขันกับไทยในตลาดสำคัญๆ โดยเฉพาะญี่ปุ่นและฮ่องกง รวมทั้งตลาดที่ไทยกำลังต้องการขยายตลาดส่งออก เช่น เกาหลีใต้ ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ประกอบการในธุรกิจไก่เนื้อและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกำลังวิตกว่าอาจจะมีการนำเข้าไก่เนื้อและผลิตภัณฑ์จากจีนเพื่อเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่และส่งออกไปในนามของประเทศไทย ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายและทำลายความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าไทยในอนาคต
ในส่วนของการขยายการส่งออกไก่และผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดจีนนั้นไทยยังมีความหวังจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-จีนซึ่งจะทำให้ไก่และผลิตภัณฑ์จากไทยได้เปรียบในเรื่องภาษีนำเข้า แต่การขยายการส่งออกจะต้องรอให้ไทยได้รับการประกาศเป็นเขตปลอดการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกก่อน