ฟิทช์ ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคารทหารไทย โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นบวก หลังจากธนาคารประกาศเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ Rights Issue

ฟิทช์ เรทติ้งส์-กรุงเทพฯ/สิงคโปร์ – 15 มีนาคม 2549: ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) (“TMB”) หลังจากธนาคารประกาศเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ rights issue อันดับเครดิตต่างๆได้รับการคงอันดับดังต่อไปนี้ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ระดับ ‘BB+’ แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นบวก อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นที่ ‘B’ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ ‘BB’ อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินที่ ‘D’ และอันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘3’ ในขณะเดียวกัน บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ได้ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ TMB ที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นบวก อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1(tha)’ และอันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ ‘A-(tha)’

การประกาศคงอันดับเครดิตนี้ สืบเนื่องมาจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ Rights Issue ของธนาคาร ซึ่งหากดำเนินการสำเร็จ น่าจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งแก่สถานะทางการเงินและส่งผลให้มีการเพิ่มอันดับเครดิตของธนาคาร อันดับเครดิตของ TMB ยังคงถูกจำกัดด้วยระดับสำรองหนี้สูญและสถานะเงินกองทุนของธนาคารที่อยู่ในระดับต่ำในขณะนี้ และผลกำไรและเครือข่ายทางธุรกิจของธนาคารที่ยังอ่อนแอเมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่อื่น แผนการเพิ่มทุนของ TMB และการสนับสนุนจาก Development Bank of Singapore (“DBS”) ซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น 16.1% และมีอันดับเครดิตสากลที่ ‘AA-’ (AA ลบ) / แนวโน้มมีเสถียรภาพ / ‘F1+ น่าจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ธนาคารในระยะปานกลาง แม้ว่าสภาวการณ์ในการดำเนินธุรกิจจะอ่อนแอลงในปี 2549

TMB วางแผนจะเพิ่มทุนจำนวน 20 พันล้านบาท ในปี 2549 โดยจะทำการจัดสรรและเสนอขายหุ้นแก่ผู้ถือหุ้นเดิมในรูปแบบ Rights Issue เป็นจำนวนเงิน 12 พันล้านบาท และจะทำการออกตราสารอนุพันธ์ ซึ่งอาจเป็นการออกตราสารที่มีลักษณะคล้ายทุน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (“BOT”) ให้นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Hybrid Tier 1) หรือการออกตราสารที่มีลักษณะคล้ายทุน ซึ่ง BOT ให้นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 (Upper Tier 2) ภายในหกเดือน DBS และผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายอื่น อาทิเช่น กระทรวงการคลัง ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้น 31% ได้แสดงความจำนงว่าจะให้การสนับสนุนการเพิ่มทุน

ผลกำไรและสถานะเงินกองทุนของ TMB แม้ว่าจะปรับตัวดีขึ้นบ้าง ก็ยังจัดว่าอ่อนแอเมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารไทยขนาดใหญ่รายอื่น คุณภาพสินทรัพย์และระดับสำรองหนี้สูญของธนาคารก็ถดถอยลงในขณะที่อัตราส่วนต้นทุนการดำเนินงานต่อรายได้ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากการควบรวมกิจการกับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (“IFCT”) สภาวการณ์ในการดำเนินธุรกิจที่อ่อนแอลงน่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของสินเชื่อและผลกำไรของธนาคารในปี 2549 ด้วย

รายได้จากการดำเนินงานหลักของธนาคารกำลังฟื้นตัว แม้ว่าผลกำไรจะยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มผู้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ โดยอัตรากำไรส่วนต่างดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับเพียงแค่ 2.12% ในปี 2548 ได้สะท้อนถึงต้นทุนการระดมทุนที่สูงกว่าของ IFCT และการเติบโตของสินเชื่อหลักที่ยังอ่อนแอ กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 7.8 พันล้านบาทในปี 2548 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการกันสำรองที่ลดลง การระดมทุนเพื่อมาแทนที่การกู้ยืมที่มีต้นทุนสูงของ IFCT ประกอบกับเครือข่ายธนาคารที่แข็งแกร่งขึ้น น่าจะส่งผลให้รายได้สูงขึ้นและผลกำไรปรับตัวดีขึ้นในระยะปานกลาง

ณ สิ้นปี 2548 ธนาคารทหารไทยมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่จำนวน 77.4 พันล้านบาท หรือ ประมาณ 14% ของสินเชื่อทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 66.4 พันล้านบาท หรือ 13% ณ สิ้นปี 2547 โดยมีสาเหตุหลักจากการจัดชั้นสินเชื่อที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้แล้วใหม่ในครึ่งแรกของปี 2548 แม้ว่าสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารจะเริ่มลดลงในครึ่งหลังของปี 2548 ระดับสำรองหนี้สูญของธนาคารอยู่ที่ 35 พันล้านบาท หรือเท่ากับ 45% ของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ลดลงจากระดับ 44.3 พันล้านบาท หรือ 67% ณ สิ้นปี 2547 ระดับการกันสำรองหนี้สูญที่อ่อนแอและสินเชื่อที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้แล้วในระดับที่สูงยังคงก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ทางธนาคารจะต้องกันสำรองหนี้สูญเพิ่มเติมอยู่ อัตราส่วนหนี้เสียหลังหักสำรองต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของธนาคารทหารไทยอยู่ที่ 83% ณ สิ้นปี 2548 เพิ่มขึ้นมากจาก 49% สะท้อนถึงระดับสำรองหนี้สูญที่อ่อนแอ

ณ สิ้นปี 2548 อัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ของ TMB อยู่ที่ 6.2% ของสินทรัพย์เสี่ยง และอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งหมดอยู่ที่ 9% ของสินทรัพย์เสี่ยง อัตราส่วนของ TMB ดังกล่าวยังคงอ่อนแอกว่าธนาคารอื่น อย่างไรก็ตาม แผนการเพิ่มทุนจะช่วยให้ธนาคารสามารถรองรับการเติบโตและปรับปรุงระดับสำรองหนี้สูญได้

ติดต่อ
ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์, Vincent Milton, กรุงเทพฯ +662 655 4755
David Marshall, ฮ่องกง +852 2263 9963

หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ใช้วัดความน่าเชื่อถือของบริษัทในประเทศที่อันดับเครดิตของประเทศนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตระดับเพื่อการลงทุน หรือมีอันดับเครดิตอยู่ในระดับต่ำแม้จะอยู่ในระดับเพื่อการลงทุน อันดับเครดิตของบริษัทที่ดีที่สุดของประเทศจะอยู่ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับบริษัทที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นถูกออกแบบมาเพื่อนักลงทุนภายในประเทศในแต่ละประเทศนั้นๆ และมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับแต่ละประเทศ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นไม่สามารถนำไปใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้

คำจำกัดความของอันดับเครดิตและการใช้อันดับเครดิตดังกล่าวของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ สามารถหาได้จาก www.fitchratings.com อันดับเครดิตที่ประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดอันดับเครดิต ได้แสดงไว้ในเว็บไซต์ดังกล่าวตลอดเวลา หลักจรรยาบรรณ การรักษาข้อมูลภายใน ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น แนวทางการเปิดเผยข้อมูลระหว่างบริษัทในเครือ กฏข้อบังคับรวมทั้งนโยบายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องอื่นๆของฟิทช์ ได้แสดงไว้ในส่วน ‘หลักจรรยาบรรณ’ ในเว็บไซต์ดังกล่าวเช่นกัน