ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องมานาน ทำให้ทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์พลังงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศไทยมีนโยบายที่จะลดการพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมัน และหันไปใช้พลังงานทดแทนน้ำมันเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการพัฒนาพลังงานทดแทนในระยะยาวจะมีส่วนช่วยลดการพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันของประเทศได้ในระดับหนึ่ง จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 กำหนดให้ใช้น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมไบโอดีเซล5%หรือB5ทั่วประเทศในปี 2554 และใช้น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมไบโอดีเซล10%หรือB10ในปี 2555
สถานการณ์ปัจจุบัน…ความคืบหน้าโครงการไบโอดีเซล
ความคืบหน้าโครงการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลนั้นแยกออกได้ ดังนี้
1.การจัดหาวัตถุดิบ จากแผนการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอในการป้อนโรงงานผลิตไบโอดีเซล โดยแผนระยะแรกมีเป้าหมายขยายพื้นที่ปลูก 5 ล้านไร่ (ปี2549-2553) อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาเนื้อที่เก็บเกี่ยวและผลผลิตปาล์มน้ำมันในปัจจุบันแล้วจะเห็นว่ายังไม่เป็นไปตามแผน กล่าวคือในปี 2549 ต่ำกว่าเป้าหมาย 0.53 ล้านไร่ และคาดว่าในปี 2550 ต่ำกว่าเป้าหมาย 0.52 ล้านไร่ ซึ่งจะส่งผลให้มีน้ำมันปาล์มไม่เพียงพอเพื่อผลิตไบโอดีเซลได้ตามเป้าหมาย
2.การผลิตไบโอดีเซล ปัจจุบันมีการผลิตไบโอดีเซลแล้วขนาดกำลังการผลิตไบโอดีเซลรวม 350,000 ลิตรต่อวันหรือ 10.5 ล้านลิตรต่อเดือน มีการจำหน่ายผ่านสถานีบริการน้ำมันของปตท.21 แห่งและบางจาก 14 แห่ง รวม 35 แห่ง ยอดจำหน่ายรวมประมาณ 113,000 ลิตรต่อวัน หรือ 3.4 ล้านลิตรต่อเดือน(ข้อมูล ณ มิถุนายน 2549) โดยราคาน้ำมันไบโอดีเซลราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซล 50 สตางค์/ลิตร ปัจจุบันบริษัทที่มีดำเนินการผลิตไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ที่เปิดดำเนินการผลิตแล้วมีอยู่ 7 บริษัท และอยู่ในระหว่างการก่อสร้างโดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2549 อีก 2 บริษัท
ส่วนการขยายการลงทุนในธุรกิจไบโอดีเซลแยกออกเป็น ดังนี้
2.1ไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ กลุ่มทุนที่จะเข้ามาดำเนินขยายธุรกิจไบโอดีเซลในเชิงการค้าคือ กลุ่มนักธุรกิจปิโตรเลียม ได้แก่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) โดยบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ลงนามข้อตกลงความร่วมมือเบื้องต้นกับบริษัท ทักษิณปาล์ม(2521) จำกัด และบริษัท ไบโอเอ็นเนอยี พลัส จำกัด โดยความร่วมมือกับทั้งสองโครงการซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกัน 500,000 ลิตรต่อวัน เมื่อรวมกับไบโอดีเซลบริสุทธิ์(B100)อีกจำนวน 600,000 ลิตรต่อวัน หรือไบโอดีเซลB5 ประมาณ 12 ล้านลิตรต่อวัน น้ำมันส่วนนี้เป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของบริษัทในเครือคือ บริษัท ปตท.เคมีคอลฯ ซึ่งจะสร้างโรงงานเสร็จในไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 ทำให้กำลังการผลิตไบโอดีเซลบริสุทธิ์(B100)เฉพาะในกลุ่มบริษัท ปตท.เองประมาณ 1.1 ล้านลิตรต่อวันภายในปี 2552 ซึ่งสามารถนำไปผลิตไบโอดีเซลB5 ได้ 22 ล้านลิตรต่อวัน นอกจากนี้ปตท.ยังมีโครงการระยะยาวในการพัฒนาไบโอดีเซลอย่างครบวงจรตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ การปลูก โรงงานผลิตน้ำมันปาล์ม โรงงานผลิตไบโอดีเซล และธุรกิจต่อเนื่อง ตลอดจนการจำหน่ายไบโอดีเซลเพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาอุตสาหกรรมไบโอดีเซลของไทย โดยร่วมทุนกับบริษัท เกรท อะโกร จำกัด ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ คาดว่าจะมีกำลังการผลิต 100,000 ลิตรต่อวัน ประเมินเงินลงทุนเบื้องต้น 1,000-2,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการศึกษารูปแบบการร่วมลงทุน และการหาพื้นที่ในการเพาะปลูกปาล์มน้ำมัน เนื่องจากต้องการพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 60,000 ไร่ คาดว่าจะอยู่ในจังหวัดกระบี่และสุราษฎร์ธานี
ส่วนบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)วางแผนจะใช้พื้นที่คลังน้ำมันในอำเภอวังน้อย ตั้งเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทนครบวงจร โดยศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่ในการวิจัยด้านเทคโนโลยีเพื่อรองรับความต้องการในอนาคต เนื่องจากหากต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศทั้งหมดก็ต้องมีการนำเข้ามูลค่าสูงมาก บริษัทบางจากฯเปิดประมูลก่อสร้างโรงงานไบโอดีเซล โดยมีกำลังการผลิต 20,000 ลิตรต่อวัน ใช้เงินลงทุนเบื้องต้น 15-20 ล้านบาท นับว่าเป็นโครงการนำร่องการผลิตไบโอดีเซล และบริษัท บางจากฯมีแผนขยายการจำหน่ายไบโอดีเซลในสถานีบริการน้ำมันของบางจากเพิ่มเป็น 100 แห่งภายในปีนี้ จากปัจจุบันที่มีให้บริการอยู่ 14 แห่ง โดยในระยะแรกจะนำไบโอดีเซลจากแหล่งอื่นมาจำหน่ายก่อน นอกจากนี้บางจากฯมีแผนจะร่วมทุนกับบริษัท เอซีจี และบริษัท ไอบีซี ตั้งโรงงานผลิตไบโอดีเซล กำลังการผลิต 300,000-400,000 ลิตรต่อวัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 900-1,000 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างเสร็จและสามารถผลิตได้ต้นปี 2552
2.2ไบโอดีเซลชุมชน ส่วนทางด้านการส่งเสริมไบโอดีเซลระดับชุมชนนั้นดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2548 โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานคัดเลือกชุมชนที่มีศักยภาพทั้งในด้านวัตถุดิบและบุคคลากร เมื่อคัดเลือกได้แล้วก็จะสนับสนุนระบบผลิตไบโอดีเซลขนาด 100 ลิตรต่อวัน และในกรณีที่เป็นชุมชนที่ใช้สบู่ดำเป็นวัตถุดิบก็จะจัดหาเครื่องหีบสบู่ดำให้ด้วย รวมทั้งการอบรมให้ความรู้ด้านเทคนิคการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต นอกจากนี้กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงานประกาศพระราชกิจจานุเบกษาเรื่องไบโอดีเซลชุมชน โดยกำหนดคุณสมบัติว่าน้ำมันที่จำหน่ายจะมีสีม่วงสามารถใช้ได้เฉพาะกับเครื่องจักรกลการเกษตรแกนนอน(โดยไม่สามารถนำไปใช้กับรถยนต์หรือเครื่องยนต์อื่นๆได้) ทั้งนี้เพื่อช่วยเกษตรกรลดต้นทุนน้ำมันจากน้ำมันดีเซลลิตรละ 27.54 บาทเหลือเพียงลิตรละ 22-23 บาท ปัจจุบันชุมชนที่ได้รับการติดตั้งระบบไปแล้วมีอยู่ 5 ชุมชน และมีชุมชนที่ได้รับการอนุมัติและกำลังดำเนินการอยู่อีก 40 ชุมชน ซึ่งล่าสุดชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ศึกษาวิจัย ทดสอบและก่อสร้างโรงงานการผลิตเพื่อจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล ปัจจุบันเริ่มดำเนินการทดสอบเครื่อง คาดว่าสามารถเดินเครื่องผลิตน้ำมันไบโอดีเซล 10,000 ลิตรต่อวันได้ประมาณกลางเดือนกันยายน ราคาจำหน่ายลิตรละ 23-25 บาท คาดว่าในอนาคตจะขยายกำลังการผลิตเป็น 20,000 ลิตรต่อวัน นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานมีเป้าหมายจะดำเนินการส่งเสริมให้ได้ 70 ชุมชนภายในสิ้นปี 2549 ซึ่งจะมีกำลังการผลิตรวม 7,000-21,000 ลิตรต่อวัน จากวัตถุดิบที่หาได้ภายในชุมชนได้แก่ น้ำมันพืชใช้แล้ว น้ำมันปาล์ม และสบู่ดำ โดยจะใช้ทดแทนน้ำมันดีเซลสำหรับใช้ในเครื่องจักรกลการเกษตรประมาณ 2 ล้านลิตรต่อปี
ปัญหาอุปสรรค…หลากปัจจัยที่ยังต้องพิจารณา
แม้ว่ารัฐบาลจะมีการกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาและส่งเสริมการผลิตไบโอดีเซล เพื่อให้มีการใช้ทดแทนน้ำมันดีเซลบางส่วน แต่การดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้นั้นยังมีปัญหาและอุปสรรคในหลายด้าน ดังนี้
1.ปัญหาด้านการผลิต แยกออกได้เป็น
1.1ปัญหาในด้านการจัดหาวัตถุดิบ ทั้งนี้เนื่องจากการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาดังนี้
-ราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ เกษตรกรไม่สนใจขยายพื้นที่ปลูก นโยบายปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อทดแทนพลังงาน โดยรัฐบาลมีแผนการสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาปลูกปาล์มน้ำมัน โดยให้เงินสนับสนุนไร่ละ 7,000 บาท จำนวน 15 ไร่ขึ้นไป คืนเงินในระยะ 6 ปี และรัฐจะรับประกันราคาปาล์ม(ทั้งทะลาย) 3.50 บาท/กิโลกรัม แต่ขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้ประกาศประกันราคา และราคาปาล์ม(ทั้งทะลาย)ลดลงเหลือ 1.60-1.80 บาท/กิโลกรัม ชาวสวนปาล์มอยู่ในภาวะที่ขาดทุนเนื่องจากต้นทุนเฉลี่ยอยู่ในระดับกิโลกรัมละ 2.00 บาท นโยบายสนับสนุนการปลูกปาล์มเพื่อทดแทนพลังงานจึงไม่เกิดแรงจูงใจ เกษตรกรสนใจหันมาปลูกปาล์มน้ำมันไม่มากนักในขณะนี้ โดยจะสนใจหันไปปลูกยางพารากันมากกว่า ทำให้คาดหมายว่าการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันอาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย นอกจากนี้ประเด็นที่ต้องพิจารณาประกอบกันไปด้วยคือ นโยบายรัฐบาลเร่งขยายพื้นที่พืชเศรษฐกิจโดยเฉพาะยางพารา และพืชพลังงานทดแทนเพื่อการผลิตเอธานอลและไบโอดีเซล ดังนั้นทำให้เกษตรกรต้องพิจารณาเลือกว่าจะหันมาปลูกพืชใดที่ให้ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากที่สุด ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าปัจจุบันไทยมีเนื้อที่จำกัดในการขยายพื้นที่ปลูกเพื่อรองรับนโยบายของรัฐบาล ส่วนการที่จะเข้าไปลงทุนเพาะปลูกในประเทศเพื่อนบ้านก็ต้องพิจารณาความเสี่ยงในด้านอื่นๆเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมือง
-พื้นที่ที่เหมาะสมในการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ความไม่มั่นใจในผลผลิตปาล์มน้ำมันว่าจะได้ผลผลิตตามที่คาดการณ์หรือไม่ เนื่องจากไม่มั่นใจว่าพื้นที่ที่จะลงทุนขยายการปลูกปาล์มน้ำมันนั้นเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่กำหนดจะขยายพื้นที่ปลูก 500,000 ไร่ แม้ว่ากรมวิชาการเกษตรใช้ระบบแผนที่ทางอากาศ คำนวณหาพื้นที่ที่เหมาะสมและยืนยันว่าพื้นที่ที่จะขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเหมาะสม แต่ก็ยังมีความเห็นขัดแย้งกับนักวิชาการและผู้ประกอบการในธุรกิจปาล์มน้ำมัน เนื่องจากการปลูกปาล์มน้ำมันนั้น นอกจากพื้นที่เหมาะสมแล้วที่สำคัญพันธุ์ต้องดี ปริมาณน้ำเพียงพอกับความต้องการ จากปัจจัยดังกล่าวถือเป็นอุปสรรคของพื้นที่ปลูกปาล์มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
-การขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศเพื่อนบ้าน ในนโยบายส่งเสริมการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันนั้นรวมถึงการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา พม่า เป็นต้นประมาณ 1 ล้านไร่ ในลักษณะการส่งเสริมการปลูกแบบมีข้อตกลง ความเสี่ยงในการลงทุนคือ การไม่ปฏิบัติตามสัญญาเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยไม่ยอมขายผลผลิตให้ตามสัญญา ความเสี่ยงในเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งมีผลต่อนโยบายสนับสนุนการลงทุน รวมไปถึงแนวนโยบายของประเทศเพื่อนบ้านที่หันมาให้ความสำคัญกับการปลูกพืชพลังงานเพื่อใช้ผลิตไบโอดีเซลในประเทศเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ประเด็นที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปคือ การตั้งโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มดิบหรือโรงงานหีบน้ำมันปาล์ม เนื่องจากข้อจำกัดของปาล์มน้ำมันเมื่อตัดจากต้นแล้วต้องส่งเข้าโรงงานภายใน 24 ชั่วโมงเพื่อที่จะรักษาคุณภาพของน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตได้ ดังนั้นจะต้องมีการลงทุนตั้งโรงงานหีบน้ำมันปาล์มตามแหล่งเพาะปลูกปาล์มน้ำมันด้วย ซึ่งปัญหานี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการลงทุนขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่นอกรัศมีโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มดิบแห่งเดิม
-ปัญหาเรื่องพันธุ์ปาล์มน้ำมัน การส่งเสริมให้มีการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันตามแผนพัฒนาและส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลนี้ ส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์/ต้นกล้าปาล์มน้ำมัน ซึ่งเมล็ดพันธุ์/ต้นกล้าปาล์มน้ำมันนั้นกรมวิชาการเกษตรกำหนดให้เอกชนที่นำเข้าพันธุ์ปาล์มขึ้นทะเบียน และกรณีที่เกษตรกรซื้อเมล็ดพันธุ์/ต้นกล้าจากเอกชนที่ขึ้นทะเบียนจะได้รับการประกัน ถ้าผลผลิตต่ำกว่าเป้าหลังปลูกไปแล้ว 4 ปี เอกชนต้องจ่ายเงินชดเชย 363 บาทต่อต้น ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือการส่งเสริมปลูกปาล์มน้ำมันโดยงบผู้ว่าฯซีอีโอที่ขึ้นอยู่กับแต่ละจังหวัดจะตั้งเกณฑ์มาตรฐานของต้นกล้าและคุณสมบัติของผู้ประกอบการ รวมทั้งมีข้อขัดแย้งระหว่างกระทรวงเกษตรฯกับกรมวิชาการเกษตรในเรื่องคุณสมบัติของผู้ประกอบการเพาะกล้าปาล์มน้ำมัน ซึ่งกระทรวงเกษตรฯเพิ่งจะประกาศรายชื่อในเดือนสิงหาคมนี้เท่ากับว่าเกษตรกรที่ซื้อต้นกล้าปาล์มน้ำมันนอกเหนือจากบริษัทดังกล่าวก่อนหน้านี้จะไม่ได้รับเงินชดเชยในกรณีที่ผลผลิตต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้
1.2การตั้งโรงงานผลิตไบโอดีเซล การตั้งโรงงานผลิตไบโอดีเซลนั้นเป็นตัวเชื่อมสำคัญของแผนพัฒนาและส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล ปัญหาในขณะนี้คือ ความชัดเจนของผู้ที่จะลงทุนผลิตไบโอดีเซลเพื่อการพาณิชย์นั้นมีเพียงบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) เท่านั้น ซึ่งผู้ลงทุนที่ส่งไบโอดีเซลให้กับทั้งสองบริษัทนี้นับว่ามีความเสี่ยงลดลง เนื่องจากมีการตั้งโรงงานผลิตไบโอดีเซลและปั๊มน้ำมันรองรับการจำหน่ายที่แน่นอน ในขณะที่การลงทุนผลิตไบโอดีเซลชุมชนนั้นมีความเป็นไปได้มากกว่า เนื่องจากการผลิตเป็นไปตามความต้องการของชุมชนแต่ละแห่ง
ความเสี่ยงที่จะต้องพิจารณาของผู้ที่จะลงทุนตั้งโรงงานผลิตไบโอดีเซลเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเกิดปัญหาเช่นเดียวกับผู้ที่ลงทุนตั้งโรงงานผลิตเอธานอล เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องผลตอบแทนของการลงทุน อันเป็นผลมาจากหลากหลายปัจจัย ได้แก่
-ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งมีผลต่อการคำนวณต้นทุน/กำไรของราคาจำหน่ายปลีกไบโอดีเซล ส่งผลต่อเนื่องในการคำนวณจุดคุ้มทุนของการตั้งโรงงานผลิตไบโอดีเซล
–ความชัดเจนของนโยบายรัฐบาล เนื่องจากตามแผนรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลโดยการอุดหนุนหรือยกเว้นภาษีเช่นเดียวกับก๊าซโซฮอล์ โดยเฉพาะภาษีเก็บเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงาน ภาษีกองทุนน้ำมัน ภาษีเทศบาล และภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้เพื่อให้ราคาจำหน่ายปลีกไบโอดีเซลต่ำกว่าน้ำมันดีเซล(ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดว่าจะต้องต่ำกว่าเท่าใด ในขณะที่ราคาจำหน่ายน้ำมันก๊าซโซฮอล์ต้องต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 1.50 บาทต่อลิตร) ซึ่งตามแผนนั้นรัฐบาลจะประกาศลดหย่อนภาษีสรรพสามิต 50 สตางค์ต่อลิตร และยกเว้นภาษีกองทุนน้ำมัน 50 สตางค์ต่อลิตร การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลก็จะมีผลต่อความเสี่ยงในการลงทุนตั้งโรงงานผลิตไบโอดีเซล
-ความเสี่ยงอันเกิดจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าถ้าการขยายพื้นที่ปาล์มน้ำมันไม่เป็นตามเป้าหมายหรือภาวะอากาศไม่เอื้ออำนวยทำให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันไม่เป็นไปตามที่มีการคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเท่ากับว่าต้นทุนการผลิตไบโอดีเซลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งอาจจะทำให้ราคาน้ำมันผสมไบโอดีเซลขยับเข้าไปใกล้กับราคาจำหน่ายน้ำมันดีเซลมากจนไม่น่าจะลงทุน เป็นต้น
นอกจากนี้ประเด็นที่ต้องพิจารณาประกอบด้วยคือ ถ้าโรงงานผลิตไบโอดีเซลนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ ซึ่งราคาต่ำกว่าน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตในประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นไปได้เนื่องจากแหล่งผลิตน้ำมันปาล์มดิบที่สำคัญของโลกคือ มาเลเซียและอินโดนีเซีย รวมไปถึงมีโอกาสที่จะนำเข้าน้ำมันไบโอดีเซลจากประเทศทั้งสองนี้ ซึ่งก็ส่งเสริมการผลิตไบโอดีเซลเช่นกัน โดยมีความได้เปรียบไทยในเรื่องต้นทุนการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ ทำให้ต้นทุนการผลิตไบโอดีเซลจะต่ำกว่าไทย ไม่ว่ากรณีการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบหรือนำเข้าไบโอดีเซลจะส่งผลกระทบทำให้น้ำมันปาล์มดิบในประเทศล้นตลาด ส่งผลต่อเนื่องถึงธุรกิจโรงหีบน้ำมันปาล์มและเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน รวมทั้งในปัจจุบันยังไม่มีการประกาศใช้มาตรฐานไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ มีเพียงประกาศมาตรฐานไบโอดีเซลชุมชนเท่านั้น ซี่งอาจจะส่งผลต่อความมั่นใจของผู้บริโภคต่อคุณภาพของน้ำมันดีเซลผสมไบโอดีเซล ทำให้ความต้องการใช้ไบโอดีเซลอาจจะไม่มากเท่ากับที่มีการคาดการณ์ไว้
2.ความต้องการไบโอดีเซล ตามแผนการกำหนดให้ใช้น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมไบโอดีเซล5%หรือB5ทั่วประเทศในปี 2554 และใช้น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมไบโอดีเซล10%หรือB10ในปี 2555 ความเป็นไปได้นั้นขึ้นอยู่กับการจัดหาวัตถุดิบ ซึ่งหมายถึงการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันเป็นไปตามเป้าหมาย และมีการตั้งโรงงานผลิตไบโอดีเซลรองรับปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เพิ่มขึ้นด้วย รวมไปถึงการยอมรับของผู้บริโภค ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยเฉพาะผลกระทบต่อเครื่องยนต์ กล่าวคือต้องมีการประกาศมาตรฐานน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมไบโอดีเซลเพื่อการพาณิชย์ของรัฐบาล และการยอมรับของบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ โดยมีผลการทดสอบและประกาศยอมรับน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซลทั้งB5และ B10 นอกจากนี้ความตื่นตัวในการจะหันมาใช้น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซลนั้นนอกจากราคาจำหน่ายแล้ว การประกาศกำหนดยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันดีเซลบริสุทธ์หรือน้ำมันดีเซลที่ไม่ได้ผสมไบโอดีเซล เช่นเดียวกับการประกาศยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน95 ซึ่งทำให้ผู้บริโภคตื่นตัวหันมาใช้ก๊าซโซฮอล์มากขึ้น ทำให้นโยบายส่งเสริมการผลิตเอธานอลเพื่อนำมาผลิตก๊าซโซฮอล์นั้นประสบความสำเร็จ
บทสรุป
การส่งเสริมและพัฒนาไบโอดีเซลเพื่อเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกทดแทนน้ำมันดีเซลบางส่วนนับว่าเป็นโครงการที่ดี เนื่องจากจะช่วยลดการพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันดีเซลได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้นั้นมีปัญหาและอุปสรรคหลายด้าน เริ่มตั้งแต่ปัญหาที่ปริมาณวัตถุดิบอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของโครงการไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ อันเป็นผลมาจากความไม่มั่นใจในราคาปาล์มน้ำมันในอนาคต ปริมาณผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ ซึ่งมีผลต่อการพิจารณาเลือกว่าจะปลูกพืชใดที่จะให้ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่ สำหรับผู้ที่จะลงทุนตั้งโรงงานไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์นั้นก็มีความเสี่ยงต่อความคุ้มทุนของโรงงานผลิตไบโอดีเซล อันเป็นผลมาจากความเพียงพอของปริมาณการผลิตปาล์มน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีความไม่ชัดเจนในเรื่องการกำหนดมาตรฐานน้ำมันไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ และการกำหนดราคาน้ำมันไบโอดีเซลที่จำหน่ายเช่นเดียวกับการจำหน่ายเอธานอล ซึ่งปัจจัยทั้งสองนี้นับว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจลงทุนในธุรกิจไบโอดีเซล นอกจากนี้ความต้องการไบโอดีเซลที่จะบรรลุเป้าหมายตามแผนเพื่อรองรับกับการขยายการผลิตปาล์มน้ำมัน การผลิตไบโอดีเซล ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมไบโอดีเซลนั้นนอกจากราคาจะจูงใจแล้ว ผู้บริโภคยังพิจารณาถึงมาตรฐานของน้ำมันและการรับรองการใช้ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งถ้ามีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวแล้ว ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลก็จะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับปริมาณความต้องการใช้ก๊าซโซฮอล์


