แนวโน้มข้าวปี50 : รื้อระบบรับจำนำข้าว…ปรับทิศการค้าข้าว

ข่าวที่ชาวนาและผู้ประกอบธุรกิจการค้าข้าวรอคอยคือ การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับข้าวโดยเฉพาะนโยบายการรับจำนำข้าวและนโยบายการระบายสต็อกข้าว ซึ่งส่งผลต่อทิศทางการค้าข้าวในปี 2550 เนื่องจากเป็นนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อทั้งราคาข้าวในประเทศและการส่งออกข้าว โดยประเทศผู้นำเข้าข้าวจะชะลอดูแนวนโยบายเพื่อนำไปเปรียบเทียบกับประเทศผู้ส่งออกข้าวอื่นๆในตลาดโลก และปรับทิศทางการค้าข้าวกับไทย ซึ่งการรื้อโครงสร้างราคารับจำนำข้าว และความพยายามในการทยอยระบายสต็อกข้าวนั้นนับว่าส่งผลดีต่อการส่งออกข้าวในปี 2550 กล่าวคือ

1.ราคารับจำนำข้าวปี2549/50 ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าว(กนข.)ได้มีการประกาศราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปีปีการผลิต2549/50 โดยราคาจำนำข้าวลดลงจากปีการผลิต 2548/49 กล่าวคือราคาข้าวเปลือกหอมมะลิราคารับจำนำที่ 8,700-9,000 บาทต่อตันลดลง 1,000 บาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งราคาอยู่ที่ 9,700-10,000 บาทต่อตัน ราคาข้าวเปลือกเจ้าราคา 6,100- 6,500 บาทต่อตัน ลดลง 600 บาท เมื่อเทียบกับราคา 6,700- 7,100 บาทต่อตัน เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการกำหนดราคาจำนำสูงเกินกว่าราคาตลาดถึงร้อยละ 30 ทำให้ชาวนาส่วนใหญ่จำนำข้าว โดยไม่ไถ่ถอนคืน ปริมาณสต็อกข้าวมากถึง 3.7 ล้านตัน ซึ่งไปกดราคาทำให้ราคาข้าวในฤดูกาลใหม่ปรับขึ้นไม่ได้ นอกจากนี้ยังกระทบทำให้ต้นทุนข้าวเพื่อการส่งออกเพิ่มขึ้นด้วย คาดว่าจะมีการรับจำนำข้าวประมาณ 9 ล้านตัน ช่วงระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 1 พย.2549-28กพ.2550 ยกเว้นภาคใต้ที่รับจำนำ 1 กพ.-1พค.2550 โดยมีมาตรการในการรับจำนำที่เคร่งครัดและรัดกุมมากขึ้นเพื่อป้องกันการสรวมสิทธิ์และให้รั่วไหลน้อยที่สุด และคาดว่าจะใช้เงินรับจำนำประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท ซึ่งมาตรการปรับลดราคารับจำนำข้าวลงมานับว่าเป็นส่งการสัญญาณว่าราคาข้าวในประเทศและราคาส่งออกน่าจะมีแนวโน้มลดลง เท่ากับทำให้ข้าวของไทยสามารถแข่งขันทางด้านราคากับเวียดนามได้ดีขึ้น และจะสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดที่เวียดนามแย่งไปกลับมาได้ เนื่องจากความแตกต่างของราคาข้าวมีแนวโน้มลดลง

2.มาตรการระบายสต็อกข้าว คาดว่าสต็อกข้าวมีอยู่ประมาณ 3.7 ล้านตัน ซึ่งมาตรการระบายสต็อกข้าวนี้จะส่งผลกระทบต่อทั้งราคาข้าวในประเทศและราคาส่งออกข้าว ปัจจุบันรัฐบาลอยู่ระหว่างให้องค์การคลังสินค้าเร่งระบายข้าว โดยเน้นการระบายออกต่างประเทศ เนื่องจากข้าวฤดูกาลใหม่ทยอยออกสู่ตลาด โดยเน้นการส่งออก โดยเฉพาะการขายข้าวรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล นอกจากนี้รัฐบาลยังมีแนวคิดที่จะเสนอขายข้าวในสต็อกรัฐบาลผ่านตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าด้วย เพื่อพยุงไม่ให้ราคาข้าวภายในประเทศตกต่ำ รวมทั้งยังเป็นการผลักดันให้ราคาซื้อขายข้าวผ่านตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้ามีมากขึ้นด้วย ซึ่งมาตรการทยอยระบายสต็อกข้าวโดยเน้นการระบายข้าวออกสู่ตลาดต่างประเทศนี้ ทำให้ส่งผลต่อราคาข้าวในประเทศน้อยมาก และจะส่งผลดีต่อราคาข้าวในระยะยาว เนื่องจากสต็อกข้าวที่อยู่ในเกณฑ์สูงเป็นข้ออ้างสำคัญของประเทศผู้นำเข้าข้าวในการกดราคาส่งออกข้าวของไทย

โดยนโยบายและมาตรการเกี่ยวกับข้าวทั้งการกำหนดราคารับจำนำข้าวและมาตรการในการระบายสต็อกข้าว ต้องพิจารณาร่วมกับปัจจัยภายนอกคือปริมาณการผลิตและความต้องการบริโภคข้าวในตลาดโลก ทั้งนี้องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติคาดการณ์ว่าผลผลิตข้าวในปี 2549/50 จะมีทั้งสิ้นประมาณ 417 ล้านตันข้าวสาร เมื่อเทียบกับในปี 2548/49 ซึ่งมีการผลิตเท่ากับ 411.52 ล้านตันข้าวสาร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เนื่องจากคาดการณ์ว่าประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลกโดยเฉพาะในเอเชียทั้งไทย เวียดนาม จีน อินเดียและบังคลาเทศมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น แม้ว่าสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยและประสบปัญหาน้ำท่วม แต่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตข้าวน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสังเกตคือ อัตราการขยายตัวของการผลิตข้าวในประเทศผู้ผลิตข้าวที่สำคัญของโลกนั้นเพิ่มขึ้นไม่มากนัก กล่าวคือ ไทย กระทรวงเกษตรฯคาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตข้าวในปี 2549/50 นั้นจะเพิ่มขึ้นไปเป็น 18.35 ล้านตันข้าวสาร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 แม้ว่าจะมีปัญหาน้ำท่วมซึ่งสร้างความเสียหายให้กับผลผลิตข้าวนาปีบางส่วน แต่คาดว่าชาวนาจะปลูกข้าวชดเชยในช่วงข้าวนาปรังโดยผลผลิตข้าวจะเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสองของปี 2550 สำหรับ อินเดีย คาดว่าในปี 2549/50 ปริมาณการผลิตข้าวเท่ากับ 90 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 ส่วน เวียดนาม คาดว่าในปี 2549/50 ปริมาณการผลิตข้าวเท่ากับ 23 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 อย่างไรก็ตามจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยส่งผลกระทบทำให้ปริมาณผลผลิตในแหล่งผลิตสำคัญโดยเฉพาะที่ราบลุ่มปากแม่น้ำโขงลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ปริมาณการผลิตข้าวของเวียดนามอาจจะต่ำกว่าการคาดการณ์ ส่วนจีนนั้นผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากที่มีการเพิ่มอย่างก้าวกระโดดในปี 2547/48 โดยคาดว่าปริมาณการผลิตข้าวในปี 2549/50 เท่ากับ 129 ล้านตันข้าวสาร เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3ส่วนปริมาณการบริโภคข้าวเท่ากับ 423.15 ล้านตัน เทียบกับปีก่อนแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 โดยปริมาณการค้าข้าวในตลาดโลกในปี 2549/50 เท่ากับ 27.86 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 และคาดหมายว่าสต็อกข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงเหลือ 61.95 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 9.0 นับว่าเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนในปี 2550 การค้าข้าวในตลาดโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 27.86 ล้านตันข้าวสาร เมื่อเทียบกับปี 2549 ที่มีปริมาณการค้าข้าว 27.49 ล้านตันข้าวสารแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมา

นับว่าในปี 2550 ปัจจัยภายนอกนั้นเอื้ออำนวยต่อการค้าข้าวของไทย เนื่องจากปริมาณความต้องการข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น โดยประเทศนำเข้าข้าวที่น่าสนใจคือ อิหร่าน ฟิลิปปินส์ ประเทศแถบแอฟริกาตอนใต้โดยเฉพาะกานา และประเทศแถบลาตินอเมริกาโดยเฉพาะบราซิล ในขณะที่คาดการณ์ว่าการแข่งขันในการส่งออกข้าวในปี 2550 นั้นจะไม่รุนแรง เนื่องจากคู่แข่งสำคัญในการส่งออกข้าวของไทยต่างเผชิญปัญหา กล่าวคือ เวียดนาม คาดการณ์ว่าการส่งออกข้าวของเวียดนามในปี 2550 มีแนวโน้มลดลงเหลือ 4.7 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 9.6 เนื่องจากรัฐบาลเวียดนามมีแนวโน้มจะใช้นโยบายจำกัดการส่งออกข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ส่วน อินเดีย คาดว่าการส่งออกใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่อยู่ในระดับ 4 ล้านตัน เนื่องจากในปีนี้ปริมาณการผลิตข้าวสาลีในประเทศมีแนวโน้มลดลงอย่างมาก ทำให้ปริมาณความต้องการข้าวในประเทศเพื่อบริโภคทดแทนข้าวสาลีเพิ่มสูงขึ้น ส่วน สหรัฐฯ ก็มีปัญหาในเรื่องที่ประเทศในสหภาพยุโรปห้ามการนำเข้าเนื่องจากตรวจพบการปนเปื้อนของข้าวจีเอ็มโอ ซึ่งมาตรการห้ามนำเข้าข้าวสหรัฐฯของสหภาพยุโรปนี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ข้าวส่งออกของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการส่งออกข้าวของสหรัฐฯในอนาคต คาดว่าในปี 2550 คู่แข่งในการส่งออกข้าวของไทยคือ ออสเตรเลีย เนื่องจากผลผลิตข้าวของออสเตรเลียกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลังจากในปีที่ผ่านมาผลผลิตข้าวลดลงจากปัญหาความแห้งแล้ง และในปี 2550 นี้ออสเตรเลียจะกลับมาเพิ่มการส่งออกข้าวอีกครั้งหนึ่ง โดยออสเตรเลียจะเป็นคู่แข่งสำคัญในการประมูลตลาดข้าวในญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามปริมาณการส่งออกข้าวออกออสเตรเลียในแต่ละปีนั้นน้อยมาก

คาดการณ์ว่าภาวะการค้าข้าวในปี 2550 มีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากหลากหลายปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้ทั้งปัจจัยภายในประเทศ คือ การปรับลดราคารับจำนำข้าวและการปรับมาตรการระบายสต็อกข้าว และปัจจัยภายนอกประเทศ คือ ปริมาณความต้องการข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ปริมาณสต็อกข้าวลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้การแข่งขันการค้าข้าวในตลาดโลกไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากคาดการณ์ว่าประเทศคู่แข่งสำคัญทั้งเวียดนาม อินเดียและสหรัฐฯต่างเผชิญปัญหาในการส่งออกทั้งสิ้นจึงเป็นโอกาสดีของไทยในการรุกตลาดส่งออกข้าวสำหรับปี 2550 ที่กำลังจะมาถึงนี้