ธุรกิจบัตรเครดิตไตรมาส 3 ปี 49: ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ

ธุรกิจบัตรเครดิตในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2549 ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ โดยปริมาณบัตรเครดิตทั้งระบบอยู่ที่ 10,655,290 บัตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีจำนวนบัตรอยู่ที่ 9,496,628 บัตร หรือคิดเป็นอัตราเพิ่ม 12.2% ลดลงจากที่ขยายตัว 14.37% ในไตรมาส 2 โดยปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในไตรมาส 3 ปี 49 มีมูลค่า 157,420 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัว 15.11% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากไตรมาส 2 ที่มีการเติบโต 17.82% ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมีอัตราการขยายตัวลดลง น่าจะมาจากการที่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลทำให้ผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น สำหรับปริมาณสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไตรมาส 3 ปี 49 มีมูลค่าอยู่ที่ 160,376 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 20.88% ชะลอลงเล็กน้อยจาก 21.30% ในไตรมาส 2 ในส่วนของภาพรวมปริมาณการเบิกเงินสดล่วงหน้าไตรมาส 3 ปี 49 มีมูลค่าการเบิกเงินสดล่วงหน้าอยู่ที่ 43,640 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัว 11.40% จากช่วงเวลาเดียวของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัวถึง 22.27% ในไตรมาส 2

ประเด็นสำคัญของธุรกิจบัตรเครดิตไตรมาส 3 ของปี 2549
ทั้งนี้ จากการพิจารณาตัวเลขบัตรเครดิต ณ ไตรมาส 3 ปี 2549 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า:

– ปริมาณบัตรเครดิตไตรมาส 3 ปี 2549 ชะลอตัวลง ยกเว้นกลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศ
ทั้งนี้ปริมาณบัตรเครดิตในไตรมาส 3 ปี 2549 มีจำนวน 10,655,290 บัตร และขยายตัว 12.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงกว่าที่ขยายตัว 14.37% ในไตรมาส 2 ทั้งนี้ปริมาณบัตรเครดิตที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงสาเหตุน่าจะมาจากมาตราการที่เข้มงวดมากขึ้นในการออกบัตรใหม่ของผู้ประกอบการทุกกลุ่ม เพื่อควบคุมคุณภาพของสินเชื่อ โดยเมื่อแยกพิจารณาตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ไตรมาส 3 ปี 2549 ปริมาณบัตรเครดิตธนาคารพาณิชย์ไทยมีการขยายฐานบัตรเครดิตที่ชะลอลง คือ ในไตรมาส 3 ปี 49 มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 4,245,505 บัตร และมีการเติบโต 16.31% (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 17.37% ในไตรมาส 2

ในขณะที่กลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศยังคงมีอัตราการขยายตัวของบัตรเครดิตใหม่ที่ค่อนข้างเด่นกว่ากลุ่มอื่น คือ ในไตรมาส 3 ปี 2549 มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 1,182,416 บัตร ขยายตัว 14.95% (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากที่ขยายตัว 14.39% ในไตรมาส 2 ทั้งนี้การขยายฐานบัตรใหม่ของสาขาธนาคารต่างประเทศ คาดว่า ส่วนหนึ่งคงจะเป็นผลจากผลของการเปรียบเทียบกับฐานที่ต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ รวมทั้งจากการที่กลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศมีการทำการตลาดบัตรเครดิตที่โดดเด่นกว่ากลุ่มอื่นๆในช่วงที่ผ่านมา โดยมีการจัดแคมเปญการตลาดออกมาเป็นระยะเพื่อขยายฐานบัตรเครดิตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากสาขาธนาคารต่างประเทศรายใหญ่

สำหรับสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non-Bank มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 5,227,369 บัตร โดยขยายตัว 7.38% (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ซึ่งอัตราการขยายตัวลดลงกว่าที่ขยายตัว 12.17% ในไตรมาส 2 ทั้งนี้การปรับตัวลดลงของปริมาณบัตรเครดิตในกลุ่มนี้ มีสาเหตุมาจากการยกเลิกบัตรเครดิตของผู้ที่ถือบัตรเครดิตที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และอีกสาเหตุหนึ่งอาจเป็นไปได้ว่าผู้ประกอบการได้ทำการยกเลิกบัตรเครดิตกับผู้ถือบัตรเครดิตที่เกิดปัญหาในการผ่อนชำระยอดคงค้างบัตรเครดิต

– การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ในไตรมาส 3 ปี 2549 ชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ หรือ Non-Bank

ภาพรวมปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 3 ปี 2549 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 157,420 ล้านบาท โดยขยายตัว 15.11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากไตรมาส 2 ที่มีการเติบโต 17.82% ทั้งนี้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ชะลอลงในไตรมาส 3 ปี 49 นั้น สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ทั้งนี้จากแบบสำรวจที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้จัดทำขึ้นในช่วง วันที่ 27 กรกฎาคม – 8 สิงหาคม 2549 ที่ผ่านมานั้น ภาวะเศรษฐกิจทำให้ผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตส่วนใหญ่มีการวางแผนก่อนการใช้บัตรเครดิต (คิดเป็น 65 % ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด) ซึ่งจะเห็นได้จากประเภทของสินค้าที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นค่าใช้จ่ายในหมวดสินค้าที่มีความจำเป็นน้อยในชีวิตประจำวัน ซึ่ง 3 อันดับแรก ได้แก่ ค่าใช้จ่ายสินค้าเครื่องแต่งกาย ค่าใช้จ่ายด้านท่องเที่ยว และค่าใช้จ่ายด้านบันเทิงและสันทนาการ เป็นต้น

โดยเมื่อแยกพิจารณาตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ไตรมาส 3 ปี 2549 ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยมีมูลค่า 74,094 ล้านบาท โดยขยายตัว 14.85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 17.99% ในไตรมาส 2 โดยสาเหตุน่าจะมาจากภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ลูกค้าบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยอาจจะเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายของตน

ในส่วนของกลุ่มผู้ประกอบการสาขาธนาคารต่างประเทศมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นหากเทียบกับกลุ่มอื่นในไตรมาสนี้ โดยมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทั้งสิ้น 23,583 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.37% ซึ่งสูงกว่าที่ขยายตัว 21.29% ในไตรมาส 2 ทั้งนี้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของกลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศยังคงมีอัตราการขยายตัวที่สูงในไตรมาส 3 ปี 49 และเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ยังคงขยายตัว สาเหตุน่าจะมาจากการเปรียบเทียบจากฐานที่ต่ำกว่า อีกประเด็นหนึ่ง คือ การทำการตลาดกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องและโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับบน (เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้ยังคงมีศักยภาพในการใช้จ่าย อีกทั้งพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าระดับบนส่วนใหญ่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแทนเงินสด) ของสาขาธนาคารต่างประเทศรายใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ชะลอลง โดยไตรมาส 2 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 59,742 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัว 12.79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยชะลอตัวลงจากที่ขยายตัว 16.34% ในไตรมาส 2 ทั้งนี้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของกลุ่มสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ชะลอตัวลงชัดเจนของกลุ่มนี้ น่าจะเป็นผลมาจากการระมัดระวังใช้จ่ายของผู้ถือบัตรเครดิตของผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีรายได้ในระดับปานกลางลงมา และมีความอ่อนไหวอย่างมากต่อปัจจัยลบต่างๆ ที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น

-ปริมาณสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตไตรมาส 3 ของปี 2549 ชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ หรือ Non-Bank

ทั้งนี้ภาพรวมปริมาณสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตโดยรวมชะลอลง โดยไตรมาส 3 ปี 49 มีปริมาณสินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น 160,376 ล้านบาท และขยายตัวในอัตรา 20.88% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากที่ขยายตัว 21.3% ในไตรมาส 2 โดยหากแยกพิจารณาเป็นรายผู้ประกอบการแล้วจะพบว่า ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมีปริมาณสินเชื่อคงค้างในไตรมาส 3 ปี 49 อยู่ที่ 32,553 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัว 25.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขยายตัวลดลงจาก 27.55% ในไตรมาส 2 โดยการขยายตัวในอัตราเกือบ 26% ดังกล่าว ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลมาจากฐานที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ และอีกประเด็นหนึ่งน่าจะมาจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการกลุ่มนี้หันมาเน้นการทำตลาดลูกค้าระดับบนมากขึ้น อีกทั้งการทำการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดการใช้จ่ายในลูกค้าทุกกลุ่มที่มีมาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ก็มีปริมาณอยู่ที่ 75,540 ล้านบาท โดยขยายตัว 20.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจาก ที่ขยายตัว 27.1% ในไตรมาส 2 ทั้งนี้ยอดสินเชื่อคงค้างของลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวมีการปรับตัวลดลง สาเหตุน่าจะมาจากการที่ผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีการเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นและมีการติดตามผู้ถือบัตรที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เพื่อเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาปรับลดวงเงิน หรือยกเลิกบัตรล่วงหน้า ก่อนเวลาต่ออายุบัตรจริง เพื่อป้องกันความเสี่ยงในเรื่องของคุณภาพของสินเชื่อในระบบ

อย่างไรก็ตามยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทย มีปริมาณยอดคงค้างทั้งสิ้น 52,284 ล้านบาท หรือขยายตัว 14.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้น 10.65% จากไตรมาส 2 และเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่มียอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าอัตราการขยายตัวของสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาสนี้จะสูงขึ้นกว่าไตรมาส 2 ก็ตาม แต่เป็นอัตราที่ต่ำกว่าตัวเลขของทั้งระบบและต่ำกว่ากลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศและสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ หรือ Non-Bank โดยการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อคงค้างอาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการชำระยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของผู้ถือบัตร ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการคงจะเฝ้าระวังและติดตามตัวเลขการเพิ่มขึ้นของยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตในไตรมาสต่อๆไป

-ปริมาณการเบิกเงินสดล่วงหน้าบัตรเครดิตของไตรมาส 3 ปี 49 โดยรวมปรับตัวลดลง

ภาพรวมของการเบิกเงินสดล่วงหน้าในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 3 ปี 2549 มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 11.40% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่เคยขยายตัว 22.27% ในไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้การชะลอตัวดังกล่าวสอดคล้องกับพฤติกรรมการชะลอตัวของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของผู้บริโภคดังที่กล่าวไปแล้วในข้างต้น โดยเมื่อแยกพิจารณาเป็นรายผู้ประกอบการแล้วพบว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยมีปริมาณการเบิกเงินสดล่วงหน้าในไตรมาส 3 ปี 49 ขยายตัวเพียง 8.29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่เคยขยายตัว 20.48% ในไตรมาส 2 สำหรับกลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศนั้น ยังคงมีอัตราการขยายตัวที่ค่อนข้างสูงแม้ว่าจะชะลอตัวก็ตาม โดยขยายตัว 48.16% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากที่เคยขยายตัว 52.20% ในไตรมาส 2 ซึ่งอัตราการขยายตัวที่สูงมากดังกล่าว ส่วนหนึ่งน่าจะยังคงเป็นผลจากการเทียบจากฐานที่ต่ำกว่า ส่วนในกลุ่มผู้ประกอบการสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์นั้น อัตราการขยายตัวการเบิกเงินสดล่วงหน้าอยู่ที่ 13.18% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 21.87% ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการปรับตัวลดลงของกลุ่มอื่นๆ

บทสรุปและข้อคิดเห็น

ถึงแม้ว่าตั้งแต่ต้นปี 49 ที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งแน่นอนว่าธุรกิจบัตรเครดิตได้รับผลกระทบตามไปด้วย เนื่องจากธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยตรง ถึงแม้ว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคก็ตาม แต่ธุรกิจบัตรเครดิตยังคงต้องดำเนินต่อไป ทั้งนี้แนวโน้มการดำเนินการธุรกิจบัตรเครดิต ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ธุรกิจบัตรเครดิตน่าจะยังคงได้รับแรงหนุนจากปัจจัยอื่นๆ ได้แก่

การขยายเครือข่ายร้านค้ารับบัตร การหาพันธมิตรรายใหม่ๆมาเพื่อให้คลอบคลุมกับพฤติกรรมการใช้จ่าย วิถีชีวิต (Lifestyle) ของผู้ถือบัตรเครดิตทุกกลุ่ม รวมถึงการหาพันธมิตรในต่างประเทศ ทั้งนี้กลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศค่อนข้างได้เปรียบกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยและกลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non Bank คือ การที่ลูกค้าของธนาคารสาขาต่างประเทศสามารถที่จะใช้บัตรเครดิตในการใช้จ่ายสินค้าในต่างประเทศและสามารถที่จะได้รับส่วนลด ถึงแม้ว่าธนาคารพาณิชย์ไทยและสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารจะเริ่มมีการทำการตลาดร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศบ้างแล้วก็ตาม แต่ยังไม่ขยายวงกว้างเท่าที่ควร

– การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ที่ถือบัตรเครดิตให้หันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทดแทนเงินสดเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของบัตรเครดิตยังคงถูกมองในภาพลบว่าเป็นการสร้างหนี้มากกว่าการพกพาเพื่อใช้แทนเงินสด ทั้งนี้การสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของบัตรเครดิตนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้ผู้ประกอบการอาจจะหันมาเน้นแนวทางการตลาดในรูปแบบการสร้างทัศนคติที่ดีต่อบัตรเครดิตในสายตาของผู้ใช้มากขึ้น โดยหันมาทำแคมเปญเน้นถึงประโยชน์ของการถือบัตรเครดิตมากกว่าเพียงแค่มุ่งเน้นการทำตลาดเพื่อกระตุ้นยอดปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ทั้งนี้ความสะดวกสบายในการพกพา โดยผู้พกบัตรไม่จำเป็นต้องพกพาเงินสดเป็นจำนวนมากในการใช้จ่ายสินค้า การใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าหรือบริการ และการผ่อนชำระสินค้าเป็นรายเดือน สิ่งเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของบัตรเครดิตที่สามารถที่จะนำมาใช้สร้างภาพลักษณ์ให้แก่ธุรกิจบัตรเครดิต อย่างไรก็ตามผู้ใช้บัตรเครดิตควรใช้จ่ายบนพื้นฐานของความระมัดระวังและมีวินัยในการใช้จ่าย ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้จ่ายบัตรเครดิตได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดจากการใช้บัตรเครดิต โดยเฉพาะการแข่งขันที่เข้มข้นระหว่างผู้ประกอบการในขณะนี้

– การจัดรายการส่งเสริมการขาย ทั้งนี้ผู้ประกอบการทุกกลุ่มยังคงทำแคมเปญส่งเสริมการขาย เพื่อดึงดูดใจให้มาสมัครบัตรหรือใช้จ่ายผ่านบัตรของตนมากขึ้น อาทิ การใช้ของรางวัลจูงใจให้ใช้จ่ายผ่านบัตรตามวงเงินและภายในระยะที่กำหนด ของรางวัลที่ได้จากการสะสมคะแนนที่น่าจูงใจ และการใช้บัตรเครดิตเพื่อเป็นส่วนลด เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิตในไตรมาสสุดท้ายของปี 49 ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า

– ผู้ประกอบการบัตรเครดิตทุกกลุ่มน่าจะมีการเร่งทำการตลาดกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น เนื่องจากเข้าใกล้เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ซึ่งเป็นฤดูกาลใช้จ่ายหรือเทศกาลของขวัญ อีกทั้งยังเป็นอีกช่วงหนึ่งที่คนไทยนิยมเดินทางท่องเที่ยว เนื่องจากในเดือนธันวาคมเป็นเดือนที่มีวันหยุดยาว ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการน่าจะเร่งทำแคมเปญการตลาดในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมเพื่อเร่งปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตให้เพิ่มขึ้น

– การขยายฐานบัตรใหม่ของธุรกิจบัตรเครดิต คาดว่า ผู้ประกอบการคงจะยังคงดำเนินต่อไป แต่การแข่งขันอาจไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากการอนุมัติบัตรใหม่ยังคงอยู่บนพื้นฐานของการระมัดระวังมากขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องตรวจสอบประวัติของผู้สมัครบัตรใหม่ รวมไปถึงการประเมินความเสี่ยงโดยอาศัยฐานข้อมูลร่วมกัน โดยสามารถตรวจสอบได้จากเครดิตบูโร เพื่อตรวจสอบสถานะทางการเงินของลูกค้า ให้แน่ชัดก่อนที่จะมีการอนุมัติบัตรใหม่ ผู้ประกอบการบางแห่งเริ่มมีการทำตลาดขยายฐานบัตรใหม่ในพื้นที่ต่างจังหวัดเช่นกัน

– การเน้นการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตมากกว่าการขยายฐานบัตรใหม่ ซึ่งจากผลสำรวจที่ทาง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้จัดทำขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น พบว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้ถือบัตรเครดิตจะถือบัตรเครดิตอยู่ที่ประมาณ 3 บัตร อย่างไรก็ตามผู้ถือบัตรเครดิตหลายใบนั้น ไม่จำเป็นว่าผู้ถือบัตรเครดิตจะใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตนั้นทุกใบ โดยผลสำรวจพบว่า ผู้ใช้บัตรส่วนใหญ่จะมีการใช้จ่ายผ่านบัตรหลัก 1 ใบ นั่นหมายถึงต้นทุนที่สูญไปของผู้ประกอบการหากบัตรเครดิตนั้นไม่ได้ถูกนำมาใช้ ทั้งนี้ผู้ประกอบการคงจะหันมาเน้นให้ผู้ถือบัตรของตนหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรของตนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการชำระค่าสาธารณูปโภคผ่านบัตรเครดิต การชำระค่าสินค้าอุปโภคบริโภค หรือการชำระค่าโดยสารเครื่องบิน เป็นต้น

– สำหรับแนวโน้มการประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20% น่าจะยังคงต้องรอความชัดเจนจากทางการ ซึ่งหากกระทรวงการคลังมีมติให้ทำการปรับอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นจากระดับ 18% เป็น 20%นั้น น่าจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการ เนื่องมาจากปัจจัยเรื่องต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การแข่งขันด้านการตลาดที่มีการแข่งกันทำแคมเปญออกมาเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ไม่ว่าจะเป็นการใช้ของรางวัลมาจูงใจให้ใช้จ่ายผ่านบัตรมากขึ้น การร่วมกับพันธมิตรในการให้ส่วนลดเมื่อซื้อสินค้าแล้วชำระผ่านบัตรเครดิต การโฆษณาที่มีอย่าต่อเนื่องทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้น และการเปลี่ยนรูปแบบบัตรเครดิต (Smart Card) ให้เป็นแบบแม่เหล็กติดชิพ ซึ่งทำให้ต้นทุนของบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น แต่ที่ผ่านมาปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตกลับเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว นอกจากนี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต น่าจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านการตลาดของบัตรเครดิตมากขึ้น โดยน่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็กที่ได้ชะลอการทำแคมเปญในช่วงที่ผ่านมา ให้หันมาทำตลาดบัตรเครดิตมากขึ้น

อย่างไรก็ตามผู้ที่จะได้รับผลกระทบต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ คือ ผู้ที่ผ่อนชำระบัตรเครดิต อาจจะต้องผ่อนชำระในเวลาที่ยาวนานขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการคงต้องเพิ่มความระมัดระวังติดตามพฤติกรรมการผ่อนชำระของผู้ถือบัตรเครดิตของตนใกล้ชิดมากขึ้น อย่างไรก็ดีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวน่าจะทำให้พฤติกรรมของผู้ใช้บัตรเพิ่มความระมัดระวังและมีวินัยในการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้นตามไปด้วย