การเติบโตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกในช่วงระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลดีต่อประเทศไทยในฐานะที่เป็นฐานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญของบริษัทชั้นนำของโลกหลายราย โดยเฉพาะการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และแผงวงจรรวม ซึ่งทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2549 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยน่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ในอัตราร้อยละ 20 มีมูลค่าส่งออกประมาณ 27,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2550 คาดว่าจะสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 15 มีมูลค่าการส่งออกสูงกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่าในปี 2550 นั้น แนวโน้มของตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลกอาจมีการชะลอตัวลงอันเนื่องมาจากอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวลดลงและเป็นไปตามวัฏจักรของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลก
ความสำคัญของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต่อเศรษฐกิจไทยนั้นมีค่อนข้างมาก เนื่องจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งของไทย โดยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 14.6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และเกิดการจ้างงานมากกว่า 480,000 ตำแหน่ง โดยมีการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และแผงวงจรไฟฟ้าเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสภาพการค้าและความต้องการของตลาดโลกย่อมมีผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การชะลอตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกในปี 2550 อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้ในระดับหนึ่ง
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ปี 49 : เติบโตตามความต้องการของตลาดโลก
? การส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2549 การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีมูลค่า 21,906 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตขึ้นร้อยละ 18.45 จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามหากคิดเป็นมูลค่าในรูปของเงินบาทแล้วจะเห็นว่ามูลค่าการส่งออกในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2549 มีมูลค่าประมาณ 840,041.3 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยร้อยละ 53 เป็นสินค้าประเภทส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ รองลงมาเป็นแผงวงจรไฟฟ้า คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.45 วงจรพิมพ์ ร้อยละ 5.84 ไดโอดและอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ร้อยละ 3.79 เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ ร้อยละ 3.54 และอื่นๆ ร้อยละ 8.29 กลุ่มสินค้าที่มีอัตราการเติบโตของมูลค่าการส่งออกสูง ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า เติบโตขึ้นร้อยละ 28.3 ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ เติบโตขึ้นร้อยละ 22.4 ไดโอดและอุปกรณ์กึ่งตัวนำ เติบโตขึ้นร้อยละ 18.9 นอกจากนี้ยังมีเครื่องโทรพิมพ์ อุปกรณ์เกี่ยวกับโทรศัพท์หรือโทรเลข ซึ่งมีแนวโน้มการส่งออกขยายตัวในอัตราที่สูงเช่นกัน ส่วนกลุ่มที่มีแนวโน้มการส่งออกลดลง ได้แก่ เครื่องโทรศัพท์ วงจรพิมพ์ เครื่องโทรสาร และเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับการส่งออกในภาพรวมของปี 2549 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยน่าจะมีการขยายตัวต่อเนื่องได้ในอัตราร้อยละ 20 จากปี 2548 มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 27,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
? ด้านการผลิตนั้นไทยมีการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งรายงานดัชนีอุตสาหกรรมของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ชี้ให้เห็นว่า ดัชนีผลผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยปรับตัวสูงขึ้นมากในปี 2548 มาอยู่ที่ 253.46 หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 39.49 และในปี 2549 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องอีกร้อยละ 23 ซึ่งมาจากการขยายตัวของ HDD และ Other IC มากถึงร้อยละ 34 และ 28 ตามลำดับ
? ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลกพุ่ง การขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจในเอเชีย ทำให้ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะยอดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกในปี 2549 มีจำนวนสูงถึง 230 ล้านเครื่องทั่วโลก หรือเติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 10 จากปี 2548 นอกจากนี้ยังมีการขยายตัวของการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่มสินค้าอื่น โดยเฉพาะกลุ่ม Consumer Electronic ซึ่งมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 ในปี 2549 ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางด้าน Wireless devices , Flat Panel Displays , MP3, Digital Camera, Gaming consoles และ Software ที่เข้ามากระตุ้นตลาดให้เติบโตค่อนข้างมาก การเติบโตของตลาดพีซี และอุตสาหกรรมที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นนั้นได้มีส่วนสำคัญทำให้ความต้องการสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะสินค้าประเภทชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และแผงวงจรไฟฟ้าที่การขยายตัวของการส่งออกอยู่ในระดับดีมาก
? ตลาดจีนมีความต้องการสินค้าจากไทยสูงขึ้น ในช่วงที่ผ่านมาตลาดส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยนั้นมีตลาดที่สำคัญ คือ ตลาดสหรัฐ ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ แต่ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ของไทยนั้นสามารถส่งออกไปยังประเทศจีนได้เพิ่มขึ้นและจีนกลายเป็นตลาดที่ไทยส่งออกได้เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐ ทั้งนี้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ความต้องการใช้สินค้าประเภทเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าประเภทเทคโนโลยีที่สำคัญและส่งออกไปจำหน่ายได้เป็นอันดับหนึ่งของโลกนั้น แต่ในการผลิตชิ้นส่วนหลายรายการยังไม่เพียงพอกับความต้องการใช้งานในประเทศ เช่น แผงวงจรไฟฟ้า จีนสามารถผลิตเพื่อใช้เองในประเทศเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น และยังต้องการชิ้นส่วนที่มีคุณภาพสูงขึ้น ซึ่งจีนยังต้องสั่งซื้อจากประเทศผู้ผลิตอื่นๆ ซึ่งรวมทั้งไทยด้วย ตัวเลขการส่งออกแผงวงจรไฟฟ้าจากไทยไปจีนในช่วง 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.) ของปี 2549 พบว่ามีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 65 อย่างไรก็ตามตลาดสหรัฐก็ยังคงเป็นตลาดที่สำคัญของไทย แม้ว่าในปี 2548 จีนจะก้าวขึ้นมาเป็นตลาดที่สำคัญ แต่ในตลาดหลักเช่น สหรัฐ ฮ่องกง สิงคโปร์ ก็มีอัตราการเติบโตอย่างเป็นที่น่าพอใจด้วยเช่นกัน ส่วนตลาดส่งออกที่มีอัตราการขยายตัวสูง ได้แก่ สาธารณรัฐเช็ก เบลเยี่ยม เยอรมัน ออสเตรเลียและอิตาลี
? การแข่งขันเข้มข้นไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 17 ของโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณร้อยละ 1.43 ของตลาดโลก ดีขึ้นจากปี 2004 ที่ผ่านมาที่อยู่ในอันดับที่ 18 ในขณะที่จีน ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก มีส่วนแบ่งตลาดประมาณร้อยละ 11.5 รองลงมาเป็นเยอรมัน และสหรัฐตามลำดับ อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกับประเทศผู้ส่งออกที่เป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกันแล้ว ไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดโลกน้อยกว่าสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในอันดับ 6 และ 14 ตามลำดับค่อนข้างมาก นอกจากนี้หากเปรียบเทียบกับประเทศในแถบเอเชีย ไทยก็ยังต้องแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอื่นๆ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ซึ่งเป็นประเทศในแถบเอเชียด้วยกันกับไทย และส่วนใหญ่ผลิตสินค้าที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ส่งไปจำหน่ายในตลาดเดียวกันกับไทย แม้ว่าความต้องการอิเล็กทรอนิกส์ของโลกจะเพิ่มขึ้นแต่ไทยเองก็ยังต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันของตลาดที่เข้มข้นขึ้นด้วย นอกจากนี้ผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ต่างก็หันไปผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณภาพสูงมากยิ่งขึ้น ทำให้ไทยต้องระมัดระวังในการแข่งขันกับประเทศในแถบอาเซียนเช่นมาเลเซีย และเวียดนามที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในการส่งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้นหลังจากที่บริษัทอินเทล ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพรายใหญ่ของโลกเพิ่มเงินลงทุนในเวียดนามและผลักดันให้เวียดนามเป็นโรงงานผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อรองรับตลาดที่เติบโตขึ้นในแถบเอเชียและแปซิฟิก
? การนำเข้าขยายตัวเพียงร้อยละ 8.9 สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้ามีทั้งส่วนที่เป็นสินค้าสำเร็จรูปและสินค้าที่เป็นวัตถุดิบ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรม ซึ่งหากไทยมีการส่งออกที่ขยายตัวการนำเข้าวัตถุดิบมาผลิตก็จะสูงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ประเภทของสินค้าที่ไทยนำเข้ามามากเป็นอันดับหนึ่งได้แก่ แผงวงจรรวม รองลงมาเป็นส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องเรดาห์ วงจรพิมพ์ และไดโอด ทรานซิสเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ตามลำดับ ซึ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ส่วนใหญ่นำเข้ามาเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตและส่งออกไปจำหน่ายในลักษณะสินค้าขั้นกลางอีกทอดหนึ่ง เนื่องจากในประเทศไทยสินค้าที่จัดว่าเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำสำหรับการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลายประการยังไม่สามารถผลิตได้ในประเทศไทยหรือมีบางส่วนผลิตได้แต่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ เช่น wafer fabrications เป็นต้น อย่างไรก็ตามมูลค่านำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2549 นั้นมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 8.9 เท่านั้น คิดเป็นมูลค่านำเข้า 595,000 ล้านบาท ทั้งนี้อาจเป็นผลเนื่องมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้ไทยนำเข้าวัตถุดิบมาใช้ในราคาที่ต่ำลง
? การลงทุนจากต่างประเทศชะลอตัว เนื่องจากอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่เป็นกิจการที่มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI รายงานแนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในช่วง 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.) ของปี 2549 พบว่า จำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจำนวน 187 โครงการปรับตัวลดลงร้อยละ 2.6 จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าเงินลงทุนลดลงเหลือ 48,400 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 26 โดยในปี 2547 นั้นมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาค่อนข้างมากซึ่งเป็นการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ แต่ในช่วงระยะหลังนั้นจะเป็นโครงการลงทุนขนาดเล็กและเป็นโครงการต่อเนื่องมากกว่าการลงทุนขนาดใหญ่ โดยในปี 2549 โครงการที่ได้รับอนุมัติการลงทุนส่วนใหญ่ ได้แก่ กิจการผลิตอุปกรณ์ประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งได้แก่ อุปกรณ์เก็บข้อมูล ออฟติคัลดิสซ์ เทอร์มินอล แป้นพิมพ์ เครื่องพิมพ์ หรืออุปกรณ์สื่อสารที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มีผลิตภัณฑ์ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น หลังจากที่มีการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการผลิตรายใหญ่ของโลกถึง 4 รายเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์รายใหญ่ของโลก และการขยายการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกปี’ 50 : เข้าสู่ภาวะชะลอตัว..ส่งออกไทยโต 15%
ในปี 2549 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะการขยายตัวของความต้องการในตลาดโลก อันเนื่องมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่สูงถึงร้อยละ 5.1 แม้ว่าจะต้องเผชิญกับภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ความต้องการใช้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ก็ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะภาคการส่งออกของไทยยังขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในปี 2550 นั้น คาดว่าจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปี 2549 ที่ผ่านมา โดยที่ยังคงเน้นความสำคัญของภาคการส่งออกเป็นหลัก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2550 ดังนี้
? ยอดการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 15 ในปี 2550 การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยคาดว่าน่าจะมีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 15 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงจากร้อยละ 20 ในปี 2549 อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ว่าในปี 2550 ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐ และจีน ซึ่งเป็นตลาดอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่มีแนวโน้มของการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2550 ว่าจะมีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 2.6 ลดลงจากร้อยละ 3.4 ในปี 2549 นอกจากนี้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนจะลดความร้อนแรงลงจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อยละ 10.4 ในปี 2549 เหลือ ร้อยละ 9.1 ในปี 2550 ในขณะที่เศรษฐกิจโลกก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากร้อยละ 5.1 ในปี 2549 เหลือร้อยละ 4.9 ในปี 2550 ซึ่งอาจเป็นผลทำให้ความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวลดลงตามไปด้วย
? สินค้าประเภทคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบและแผงวงจรไฟฟ้ายังเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ สินค้าประเภทคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบและแผงวงจรไฟฟ้ายังเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ทั้งนี้ไทยเป็นฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่สำคัญของโลก สามารถผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ได้มากถึง 86.6 ล้านชิ้น ในปี 2548 ในขณะที่ความต้องการในตลาดโลกมีจำนวนถึง 380 ล้านชิ้น หรือไทยสามารถผลิตได้ประมาณร้อยละ 22 ของความต้องการใช้ในตลาดโลก และมีแนวโน้มว่าความต้องการจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 408 ล้านชิ้นในปี 2550 ไทยในฐานะที่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญและการขยายการลงทุนของบริษัทเวสเทิร์นดิจิทัล ซึ่งเป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ชั้นนำของโลกที่เข้ามาใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกได้ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนอีกว่า 35,000 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตต่อเนื่องอีก 8 ปี ในช่วงท้ายของปี 2549 ยิ่งทำให้ในปี 2550 ปริมาณการส่งออกฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ของไทยก็มีแนวโน้มว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้ความต้องการสินค้าประเภท IC Packaging ก็มีแนวโน้มว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกร้อยยละ 9 ในปี 2550 สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ สื่อสาร และคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งก็น่าจะเป็นโอกาสของไทยในการส่งออกด้วยเช่นกัน
? สินค้าประเภทเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ แผ่นวงจรพิมพ์ เครื่องโทรสาร/โทรพิมพ์ไดโอด หม้อแปลงไฟฟ้า มีแนวโน้มส่งออกได้ลดลง เนื่องจากไทยมีคู่แข่งในการผลิตมากโดยเฉพาะผู้ผลิตจากจีนมีการผลิตเพิ่มขึ้นมากทำให้ไทยส่งออกได้น้อยลงประกอบกับการลงทุนผลิตของผู้ลงทุนจากต่างประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวเริ่มปรับตัวลดลงด้วย
? ความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้น จากเดิมการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 14.6 ของ GDP ในปี 2549 และคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็นร้อยละ 15.05 ในปี 2550 ทั้งนี้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงที่สุดเมื่อเทียบกับมูลค่าส่งออกรวมของประเทศโดยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของมูลค่าส่งออกรวมทั้งหมด
แม้ว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในปี 2550 นั้นยังมีการเติบโตที่สูงขึ้นแต่ก็นับว่าเป็นการเติบโตในลักษณะชะลอตัวลงจากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เป็นผลมาจากปัจจัยทั้งภายในและปัจจัยภายนอกประเทศที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมดังนี้
• การเติบโตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลกชะลอตัว คาดว่าในปี 2550 นั้น ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2549 โดยดัชนี Semiconductor Book to Bill ratio (อัตราส่วนยอดสั่งซื้อต่อยอดจัดส่ง) ของ Semiconductor Industry Association (SIA) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดการเติบโตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ พบว่าการเคลื่อนไหวของดัชนีในลักษณะที่เป็นวัฏจักร คือ มีแนวโน้มเติบโตของยอดขาย 2 ปี คงที่ 1 ปี และ ลดลง 1 ปี และในปี 2550 นั้น ความต้องการใช้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า การเคลื่อนไหวของเลขดัชนีมีลักษณะการแกว่งตัวหรือปรับลดลงของความต้องการที่ไม่รุนแรงมากนัก และอยู่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ทั้งนี้เนื่องจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้นได้กระจายตัวไปสู่การเป็นปัจจัยการผลิตให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ มากขึ้น โดยกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สูงขึ้นได้แก่ กลุ่ม consumer electronics, telecommunication, medical equipment , automotive เป็นต้น
• ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง เป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทย เนื่องจากไทยต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ทั้งนี้ในปี 2550 อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกแม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวในระดับ 4.9 ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากปี 2549 ที่ขยายตัวประมาณร้อยละ 5.1 และในตลาดส่งออกที่สำคัญก็มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงเช่นกัน โดยคาดว่า สหรัฐจะมีการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2550 ประมาณร้อยละ 2.6 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 3.1 ในปี 2549 ในขณะที่ญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มของเศรษฐกิจในปี 2549 ขยายตัวประมาณร้อยละ 2.2 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 2.8 และจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่คาดว่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2550 ประมาณร้อยละ 9.1 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 10.4 ในปี 2549 ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการสินค้าต่างๆ อาจชะลอตัวลงด้วย
• การแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อมูลค่าการส่งออก แม้ว่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้นจะทำให้ไทยสามารถนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาในราคาที่ต่ำลง แต่การแข็งค่าของเงินนั้นก็จะทำให้ราคาสินค้าของไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในตลาดโลกด้วยเช่นกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินแนวโน้มของค่าเงินบาทในปี 2550 ว่าอาจจะมีการแข็งค่าขึ้นและอาจมีโอกาสแตะระดับประมาณ 35 บาทต่อเหรียญสหรัฐได้ แต่คาดว่าในปี 2550 ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 35-36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
• คู่แข่งทางการค้า ปริมาณความต้องการใช้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก เป็นตลาfที่มีการขยายตัวของความต้องการค่อนข้างสูง เนื่องจากมีตลาดเปิดใหม่ที่มีความต้องการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสารค่อนข้างมาก เช่น จีน อินเดีย และรัสเซีย ทำให้มีผู้ผลิตหลายรายได้ขยายการผลิตมายังประเทศในแถบเอเชียเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือกลุ่มประเทศอาเซียน เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีต้นทุนทางด้านการจ้างงานต่ำ และมีสิทธิประโยชน์ทางการค้าหรือการเปิดการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ การได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีกับประเทศพัฒนาแล้ว (GSP) ทำให้ผลิตสินค้าได้ในราคาต่ำกว่า การเคลื่อนย้ายของเงินลงทุนจากต่างประเทศมายังประเทศในแถบเอเชียค่อนข้างสูง ซึ่งในกลุ่มประเทศเหล่านี้รวมถึงไทยจึงกลายเป็นคู่แข่งทางการผลิตและมักจะแข่งขันกับประเทศอื่นๆ เพื่อให้มีการขยาย FDI ในประเทศเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายนอกเหนือจากประโยชน์ทางด้านค่าจ้างแรงงานแล้วยังจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีกับประเทศด้วย การแข่งขันในด้านการผลิตจึงเกิดขึ้นค่อนข้างมากทั้งนี้ในภูมิภาคอาเซียนนั้น สิงคโปร์และมาเลเซีย เป็นประเทศที่มีการลงทุนในการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ค่อนข้างมากและมีส่วนแบ่งในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากไทยจะต้องแข่งขันกับประเทศทั้งสองแล้ว เวียดนาม เป็นประเทศที่กำลังได้รับการจับตามองค่อนข้างมากในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ค่อนข้างมาก ทั้งนี้เนื่องจากเวียดนามมีศักยภาพทางด้านแรงงานราคาต่ำและมีคุณภาพดี มีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของโลกทำให้ในปีที่ผ่านมามีผู้ผลิตหลายรายไปลงทุนขยายฐานการผลิตในเวียดนามมากขึ้น ซึ่งทำให้ไทยต้องเร่งสร้างศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนและพัฒนาบุคลากรให้เพียงพอที่จะรองรับการแข่งขันเพิ่มขึ้น
• การกีดกันการค้าโดยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพิ่มขึ้น ซึ่งมีทั้งนโยบายทางภาษีด้วยการร่วมกลุ่มทางการค้าและนโยบายที่ไม่ใช่ภาษีจากประเทศคู่ค้า ทั้งนี้การเปิดข้อตกลงเปิดเสรีทางการค้ากับประเทศต่างๆ นั้น ทำให้มาตรการทางด้านภาษีมีแนวโน้มลดความสำคัญลง แต่ในส่วนของมาตรการกีดกันกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษีนั้นกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เช่น ประเทศจีนได้กำหนดมาตรฐานสินค้า CCC Mark สำหรับสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่จะเข้าไปจำหน่ายในจีน ต้องผ่านมาตรฐานดังกล่าว กลุ่มสหภาพยุโรป หรือ อียู (European Union : EU) ได้มีการเริ่มประกาศใช้ระเบียบว่าด้วย การจัดการของเสียอันเกิดจากซากเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ( Waste Electrical and Electronic Equipment : WEEE) ระเบียบว่าด้วยการจำกัดการใช้สารอันตราย (Restrictions on Hazardous Substances : RoHS) 6 ชนิด คือ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม โครเมียม-6 โพลิโปรเมท-ไบฟินิล และโพลีโบรมิเนท-ไดฟินิล-อิเทอร์ และ IPP นโยบายป้องกันและแก้ไขผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจร ซึ่งมาตรการเหล่านี้ทำให้ผู้ผลิตมีต้นทุนทางด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น
สรุปและข้อคิดเห็น
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ในปี 2550 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2549 ที่ผ่านมา โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณว่า ในปี 2550 การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยจะมีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 15 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอตัวลงกว่าปี 2549 ที่ผ่านมา ทั้งนี้เป็นผลมาจากตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงอันเนื่องมาจากการชะลอตัวตามวัฎจักรของอุตสาหกรรมและการชะลอตัวตามแนวโน้มของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยก็ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงทางด้านอื่นๆ เช่น ความผันผวนของค่าเงิน การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการผลิต การปรับตัวของผู้ประกอบการในประเทศ และภาวะการแข่งขันจากต่างประเทศ ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ไทยต้องเร่งปรับตัวอย่างมากเพื่อรองรับกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เนื่องจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีความสำคัญโดยมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญกว่า 5 แสนตำแหน่ง ซึ่งทำให้ภาครัฐควรเร่งขจัดอุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในระยะยาว เพราะปัจจุบันแม้ว่าอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยจะมีการพัฒนามานานแล้ว แต่ก็ยังไม่เติบโตเท่าที่ควร ภาครัฐควรให้การสนับสนุนให้มีการเชื่อมโยงการผลิตให้ครบวงจรตั้งแต่สินค้าต้นน้ำจนถึงสินค้าปลายน้ำ สนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา ปรับปรุงโครงสร้างภาษีศุลกากรและโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่ยังเป็นปัญหาต่อการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ผลิตไทยทำให้ไม่ทัดเทียมกับผู้ผลิตในต่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น การพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในระดับที่สูงขึ้นโดยเฉพาะบุคลากรด้านการออกแบบแผงวงจรไฟฟ้า เพื่อให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยมีการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต