มาตรการดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้น … ยาขมสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท

แม้ว่าที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้พยายามดูแลการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท รวมทั้งทยอยออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดระดับการเก็งกำไรในค่าเงินบาท แต่การแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินบาทในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบสนองต่อมาตรการที่ออกมาก่อนหน้าของธปท.เท่าใดนัก ทำให้ในวันที่ 18 ธันวาคม ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องออกมาตรการล่าสุด โดย ธปท.ได้กำหนดให้สถาบันการเงินที่รับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท ต้องกันสำรองร้อยละ 30 ของเงินตราต่างประเทศที่นำเข้ามาแลกเป็นเงินบาท ยกเว้นเงินตราต่างประเทศที่ได้รับจากค่าสินค้าและบริการ หรือเงินที่บุคคลหรือนิติบุคคลไทยได้รับจากการลงทุนในต่างประเทศ รวมทั้งธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่สถาบันการเงินต้องปฏิบัติตามสัญญาการรับซื้อ หรือแลกเปลี่ยนเงินบาท ที่ได้ตกลงไว้ก่อนวันที่ 18 ธันวาคม โดยมีเงื่อนไขสำคัญว่าลูกค้าจะสามารถขอเงินที่กันไว้ร้อยละ 30 คืนได้ก็ต่อเมื่อเงินที่นำเข้ามาลงทุนนั้นต้องอยู่ในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 1 ปี โดยหากลูกค้านำเงินลงทุนกลับคืนก่อนครบกำหนด 1 ปี จะได้รับเงินคืนในส่วนที่กันไว้คืนเพียง 2 ใน 3 เท่านั้น ซึ่งก็เท่ากับว่าถูกหักร้อยละ 10 ของเงินที่นำเข้ามา

ทั้งนี้ หลังการประกาศมาตรการใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย เงินบาทที่ซื้อขายในตลาดต่างประเทศได้อ่อนค่าลงไปที่ระดับ 35.95 บาท/ดอลลาร์ฯ ในขณะเดียวกัน ดัชนีราคาหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ก็ได้ปรับตัวลดลง 5.74 จุดเมื่อปิดตลาดในวันที่ 18 ธันวาคม ท่ามกลางการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ ในขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทน (Yields) ของพันธบัตรระยะตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่ก็ได้ปรับตัวขึ้น ในขณะที่ราคาพันธบัตรที่เคลื่อนไหวในทางตรงกันข้ามกับอัตราผลตอบแทนดังกล่าวนั้น ก็ได้ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับดัชนีหุ้นไทย ทำให้ในภาพรวมแล้ว จะเห็นได้ว่า การนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ของธนาคารแห่งประเทศไทย สะท้อนถึงการที่ทางการไทยให้น้ำหนักต่อเสถียรภาพของค่าเงินบาทและประเด็นความสามารถในการดำเนินธุรกิจของผู้ส่งออกไทยเป็นสำคัญ แม้ว่ามาตรการดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบในทางลบต่อการลงทุนในตลาดทุนของไทยก็ตาม โดยทางการไทยคงจะมีความกังวลว่า หากปล่อยให้มีการเก็งกำไรในค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เงินบาทพุ่งสูงเกินปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ก็อาจจะกระทบต่อการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งอาจนำมาสู่ความเสี่ยงในด้านเสถียรภาพที่รุนแรงตามมาได้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินผลกระทบของมาตรการดำรงสำรองฯล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนี้

มาตรการดังกล่าวน่าจะมีประสิทธิผลในการสกัดการเก็งกำไรในค่าเงินบาท เนื่องจากเงื่อนไขที่ ธปท. ระบุว่าเงินที่นำเข้าจะต้องถูกกันไว้เป็นสำรองในสัดส่วนร้อยละ 30 ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเพิ่มต้นทุนทางการเงินให้แก่ผู้ที่จะนำเงินทุนเข้ามาจากต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน การจะนำเงินออกก่อนที่จะครบระยะเวลา 1 ปี นักลงทุนจะได้รับเงินในส่วนที่กันไว้คืนเพียง 2 ใน 3 หรือเท่ากับถูกหักไปร้อยละ 10 ของเงินที่นำเข้ามา ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้เท่ากับเป็นการลดผลตอบแทนสุทธิที่จะนักค้าเงินหรือนักลงทุนต่างชาติจะได้รับจากการนำเงินเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทหรือลงทุนในหลักทรัพย์ของไทย นอกจากนี้ ความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถที่จะปรับเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการดังกล่าวขึ้นไปอีกถ้าหากสถานการณ์การเก็งกำไรยังคงดำเนินต่อไป ก็น่าจะทำให้นักค้าเงินที่คิดจะเก็งกำไรในค่าเงินบาทคงจะต้องชั่งน้ำหนักความเสี่ยงของตนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลให้การเก็งกำไรในค่าเงินบาทลดระดับลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม การกำหนดเงื่อนไขว่าเงินที่นำเข้ามาลงทุนต้องอยู่ในประเทศไม่น้อยกว่า 1 ปีจึงจะได้รับเงินในส่วนที่กันไว้คืนครบจำนวนนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดทุนของไทย ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ที่นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะมีช่วงเวลาการทำธุรกรรมลงทุนต่ำกว่า 1 ปี และรอจังหวะขายเพื่อทำกำไร โดยเงื่อนไขกรอบเวลาดังกล่าวจะทำให้โอกาสในการแสวงหาผลตอบแทน (Upside Gains) ของนักลงทุนต่างชาติในตลาดทุนไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในการทำธุรกรรมในตลาดทุนไทย เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายโดยนักลงทุนต่างชาตินั้นคิดเป็นสัดส่วนกว่าหนึ่งในสามของมูลค่าธุรกรรมในตลาดหุ้นไทย ในขณะเดียวกัน การปรับลดของราคาหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นในตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้ ก็อาจจะส่งผลต่อฐานะกำไรหรือขาดทุนของนักลงทุนชาวไทยที่ทำธุรกรรมอยู่ในตลาดดังกล่าวด้วยเช่นกัน แต่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรค่าเงินบาทแต่ประการใด

แม้ว่ามาตรการดังกล่าวอาจจะส่งผลต่อตลาดทุนของไทย แต่คาดว่าหากค่าเงินบาทกลับมามีเสถียรภาพโดยมีระดับการเก็งกำไรลดลงแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจจะพิจารณาผ่อนปรนเงื่อนไขของมาตรการดังกล่าว ซึ่งทำให้คาดว่าผลกระทบในทางลบที่อาจจะมีต่อตลาดทุนของไทยนั้น น่าที่จะเป็นผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น นอกจากนี้ สำหรับนักลงทุนที่ได้นำเงินลงทุนเข้ามาก่อนหน้าที่มาตรการนี้จะประกาศใช้ ก็คงจะไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว และยังคงสามารถที่จะดำเนินการตัดสินใจลงทุนได้ตามปกติ เพียงแต่ว่าการจะนำเงินทุนก้อนใหม่เข้ามาแลกเป็นเงินบาทในรอบถัด ๆ ไปนั้นต้องเป็นไปตามมาตรการดำรงสำรองเงินนำเข้าระยะสั้นดังกล่าวของธปท. แต่อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนดังกล่าวมองแนวโน้มของค่าเงินบาทและตลาดหุ้นไทยว่าอาจจะมีความเป็นเชิงบวกที่ลดลง เนื่องจากสภาพคล่องในการซื้อขายที่อาจจะจำกัดนั้น นักลงทุนดังกล่าวก็อาจจะตัดสินใจขายทำกำไรในขณะที่ยังคงมีโอกาสและเอาเงินลงทุนของตนออกก่อน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบซ้ำเติมทั้งต่อค่าเงินบาทและราคาหลักทรัพย์ในตลาดทุนไทย

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าตราบใดที่มาตรการดังกล่าวยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ ค่าเงินบาทก็อาจจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 35.5-37.0 บาท/ดอลลาร์ฯ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากประเด็นที่ว่า ธปท.จะดำรงมาตรการดังกล่าวไว้นานเพียงใดแล้ว แนวโน้มของค่าเงินบาทจะยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตัวเลขการส่งออก ดุลบัญชีเดินสะพัด อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อของไทย รวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจหลักของโลก โดยเฉพาะของสหรัฐฯ โดยหลังจากที่ธปท.เห็นว่าเงินบาทค่อนข้างจะมีเสถียรภาพและสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งหากกระแสการเก็งกำไรได้ลดลงไปแล้ว คาดว่าธปท.ก็คงจะพิจารณาผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวลงตามลำดับต่อไป

โดยรวมแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่ามาตรการดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้นของธนาคารแห่งประเทศไทย น่าจะมีประสิทธิผลในการลดระดับการเก็งกำไรในค่าเงินบาทได้ เนื่องมาจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากการต้องกันสำรองร้อยละ 30 และเงื่อนไขของการหักเงินที่กันไว้ถ้าหากนักลงทุนนำเงินออกก่อนครบกำหนดก่อนระยะเวลา 1 ปี โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 35.5-37.0 บาท/ดอลลาร์ฯ อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับว่ามาตรการดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของการลงทุนในตลาดทุนไทย ในขณะที่แนวโน้มการปรับลดของราคาหลักทรัพย์ก็อาจจะมีผลต่อฐานะกำไรหรือขาดทุนของนักลงทุนชาวไทยที่ทำธุรกรรมในตลาดดังกล่าวอยู่ด้วยเช่นกัน แม้ว่านักลงทุนไทยดังกล่าวอาจไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงต่อการเก็งกำไรค่าเงินบาทแต่อย่างใด แต่กระนั้นก็ดี การนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ของธนาคารแห่งประเทศไทย สะท้อนให้เห็นว่าทางการไทยให้น้ำหนักต่อเสถียรภาพของค่าเงินบาทและประเด็นความสามารถในการดำเนินธุรกิจของผู้ส่งออกไทยเป็นสำคัญ โดยเกรงว่าค่าเงินบาทที่แข็งเกินปัจจัยพื้นฐานของประเทศ อาจนำมาสู่ความเสี่ยงในด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงได้เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงก่อนปี 2540 อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าหากสถานการณ์ค่าเงินบาทคลี่คลายไปในทางที่มีเสถียรภาพมากขึ้นแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยก็อาจจะพิจารณาผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวลงตามลำดับในระยะถัดไป ซึ่งทำให้ผลกระทบในทางลบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสภาพคล่องและบรรยากาศในการลงทุนของตลาดทุนไทยดังกล่าว อาจจะเป็นผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น