ซีแอทเทิล–(บิสิเนส ไวร์)
สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ คอมพานี (NASDAQ:SBUX) ประกาศในวันนี้ว่า ราคาเฉลี่ยของกาแฟที่บริษัทซื้อ ได้เพิ่มขึ้นจาก 1.28 ดอลลาร์สหรัฐ/ปอนด์ในปีงบการเงิน 2548 เป็น 1.42 ดอลลาร์สหรัฐ/ปอนด์ (3.12 ดอลลาร์/กิโลกรัม) ในปีงบการเงิน 2549 ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ราคาเฉลี่ยในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (C) อยู่ที่ 1.04 ดอลลาร์/ปอนด์ (2.28 ดอลลาร์/กิโลกรัม) นอกจากนี้ สตาร์บัคส์ยังได้ประกาศว่า กาแฟที่บริษัทซื้อผ่านทาง C.A.F.E. Practices ซึ่งเป็นเครื่องชี้นำอิสระสำหรับการซื้อและเสาะหากาแฟนั้น ได้เพิ่มจาก 77 ล้านปอนด์ (35 ล้านกิโลกรัม) ในปีงบการเงิน 2548 เป็น155 ล้านปอนด์ (70 ล้านกิโลกรัม) ในปีงบการเงิน 2549 ซึ่งคิดเป็น 53% ของกาแฟทั้งหมดที่บริษัทซื้อ และเป็นการเพิ่มขึ้น 100% เมื่อเทียบเป็นรายปี
“สตาร์บัคยินดีที่จะจ่ายในราคาที่สูงกว่าเพื่อกาแฟคุณภาพระดับพรีเมียม ซึ่งเป็นพันธะสัญญาที่มั่นคงของเราตลอดหลายปีที่ผ่านมา” ดั๊บ เฮย์ รองประธานอาวุโสของสตาร์บัคส์ กล่าว “นี่เป็นแนวทางที่ไม่เพียงแต่สนับสนุนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะสั้นและระยะยาวของเกษตรกรและซัพพลายเออร์เท่านั้น แต่ยังตอบสนองความต้องการของเรา โดยเป็นการสร้างแรงกระตุ้นให้เกษตรกรปรับปรุงคุณภาพและเพิ่มการผลิต ซึ่งก็จะส่งผลต่อเนื่องให้มีซัพพลายกาแฟคุณภาพสูงมากเพียงพอ ซึ่งเราต้องพึงพาเพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเรา”
สตาร์บัคส์พัฒนา C.A.F.E. Practices (Coffee and Farmer Equity Practices) ร่วมกับ Conservation International and Scientific Certification Systems เพื่อเป็นสิ่งกระตุ้นสำหรับการเก็บเกี่ยวและการแปรรูปผลผลิตกาแฟด้วยวิธีที่ยั่งยืน
นอกเหนือจากการซื้อกาแฟคุณภาพระดับพรีเมียมในราคาที่สูงกว่าแล้ว กาแฟที่บริษัทซื้อโดยอาศัยการแนะแนวของ C.A.F.E. Practices ยังตรงตามหลักเกณฑ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในด้านความโปร่งใสทางเศรษฐกิจของชุมชนการเพาะปลูก ซึ่งจะช่วยรับประกันได้ว่ามีการจ่ายเงินให้แก่เกษตรอย่างยุติธรรมเพื่อซื้อพืชผลของพวกเขาและเพื่อความเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม
“สตาร์บัคส์แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำอย่างแท้จริง โดยแสดงให้เห็นว่าซัพพลายเชนของบริษัทสามารถเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการดำรงชีวิตแบบยั่งยืน” เกลนน์ พริคเก็ต รองประธานอาวุโสของ Conservation International กล่าว “ด้วยการซื้อกาแฟผ่านทางโปรแกรม C.A.F.E. Practices เพิ่มมากขึ้นและการจ่ายในราคาที่สูงกว่า สตาร์บัคจะสามารถกระตุ้นให้เกษตรปลูกกาแฟในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลงทุนกับชุมชนผู้ปลูกกาแฟจะยิ่งเป็นการช่วยสร้างสาธารณูปโภคในระดับท้องถิ่น เช่น โรงเรียนและศูนย์บริการทางการแพทย์ และมีส่วนต่อความสำเร็จในระยะยาวของชุมชน”
เอดูอาร์โด เอสเตเว กรรมการผู้จัดการของ Agroindustrias Unidas de Mexico, S.A. de C.V. กล่าวว่า “C.A.F.E. Practices ช่วยให้ซัพพลายเออร์ทั่วโลกมีโอกาสประเมินมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม-เศรษฐกิจของพวกเขาไปพร้อมๆกับการซื้อขายพืชผลของพวกเขาในซัพพลายเชนที่ทำกำไรและโปร่งใส”
นอกจากกาแฟที่ได้รับการรับรองจาก C.A.F.E. Practices แล้ว ในปีงบการเงิน 2549 สตาร์บัคยังได้ซื้อกาแฟซึ่งแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมหรือเศรษฐกิจในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งได้แก่ การอนุรักษ์การปลูกกาแฟใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ตามธรรมชาติ หรือ Shade Grown (คิดเป็น 2 ล้านปอนด์ หรือ 1% ของกาแฟทั้งหมดที่สตาร์บัคส์รับซื้อ), กาแฟที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี หรือ Certified Organic Coffees (คิดเป็น 12 ล้านปอนด์ หรือ 4% ของกาแฟทั้งหมดที่สตาร์บัคส์รับซื้อ) และกาแฟที่รับรองการรับซื้อในราคาที่เป็นธรรม หรือ Fair Trade Certified(TM) coffee (คิดเป็น 18 ล้านปอนด์ หรือ 6% ของกาแฟทั้งหมดที่สตาร์บัคส์รับซื้อ) โดยสตาร์บัคส์เป็นหนึ่งในผู้ซื้อ ผู้คั่วเมล็ดกาแฟ และผู้จัดจำหน่ายกาแฟ Fair Trade Certified(TM) รายใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ C.A.F.E. Practices รวมถึงข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับกระบวนการให้การรับรอง กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ http://www.scscertified.com/csrpurchasing/starbucks.html หรือหากต้องการข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสตาร์บัคส์และกาแฟ สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.starbucks.com/whatmakescoffeegood/
เกี่ยวกับสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ คอมพานี
สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ คอมพานี มอบประสบการณ์ในการลิ้มลองกาแฟที่ช่วยเพิ่มช่วงเวลาแห่งความสุนทรีย์ให้แก่ชีวิต มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์กับเราได้ที่ www.starbucks.com
ติดต่อ: สตาร์บัค คอฟฟี่ คอมพานี
คริสตี้ ซาลชิโด, 206-318-7100
[email protected]
http://www.businesswire.com/cnn/sbux.shtml