ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ในการประชุมรอบที่สามของปีวันที่ 11 เมษายน 2550 นี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (Monetary Policy Committee: MPC) ของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. อาจมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีกร้อยละ 0.50 จากร้อยละ 4.50 มาที่ร้อยละ 4.00 เพื่อรักษาสมดุลความเสี่ยงทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจที่เริ่มมีน้ำหนักชัดเจนมากขึ้น ในขณะที่ความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อบรรเทาเบาบางลง โดยการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธปท.ในครั้งนี้ หากเกิดขึ้นตามคาด จะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน หลังจากที่ธปท.ได้เริ่มต้นวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาลงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ปัจจัยแวดล้อมประกอบการคาดการณ์ สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้ :-
• ความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อผ่อนคลายลงตามลำดับ
แม้ว่าตัวเลขล่าสุดในเดือนมีนาคม 2550 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI Inflation) ที่ร้อยละ 2.0 จะสูงกว่าร้อยละ 1.7 ซึ่งเป็นตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่สำรวจโดยรอยเตอร์ แต่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ระดับดังกล่าวก็ลดต่ำลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 3.0 และร้อยละ 2.3 ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ตามลำดับ ในทิศทางที่สอดคล้องกัน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI Inflation) ลดลงจากร้อยละ 1.6 ในเดือนมกราคม และร้อยละ 1.4 ในเดือนกุมภาพันธ์ มาที่ร้อยละ 1.3 ในเดือนมีนาคม ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ทิศทางอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่คาดว่าอาจชะลอลงต่อเนื่องในเดือนเมษายนและพฤษภาคม โดยอาจเคลื่อนเข้าสู่ร้อยละ 1.0 อันเป็นผลจากการเปรียบเทียบกับฐานคำนวณที่สูงในช่วงเดียวกันปีก่อน และส่วนหนึ่งจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น (ถึงแม้ราคาน้ำมันตลาดโลก (Brent) ขณะนี้จะขยับเข้าใกล้ระดับ 70 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรลก็ตาม) คงจะเอื้อให้ธปท.มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการผ่อนคลายนโยบายอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยที่ไม่ต้องวิตกกังวลกับความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อมากเท่าในอดีต เพราะโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะขยับออกนอกกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) ที่ร้อยละ 0-3.5 มีจำกัด
• ความเสี่ยงทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจมีน้ำหนักมากขึ้นชัดเจน
แม้ว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจภาคต่างประเทศจะยังคงเติบโตได้ดีท่ามกลางเงินบาทที่ยังปรับตัวแข็งค่าขึ้น ซึ่งเห็นได้จาก การส่งออกในเดือนมกราคมที่ยังขยายตัวสูงถึงร้อยละ 17.8 จากเดือนเดียวกันปีก่อน (y-o-y) ดุลบริการ รายได้ และเงินโอน ที่บันทึกยอดเกินดุลต่อเนื่องรวมราว 1.2 พันล้านดอลลาร์ฯ ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2550 เช่นเดียวกับดุลการชำระเงินที่เกินดุลต่อเนื่องรวมประมาณ 981 ล้านดอลลาร์ฯ แต่เครื่องชี้การใช้จ่ายภายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน มีทิศทางที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องในช่วง 2 เดือนแรกของปี ไม่ว่าจะเป็น การจัดเก็บรายได้ภาษี ซึ่งมีอัตราการเติบโตจากเดือนเดียวกันปีก่อนที่ถดถอยลง โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม ยอดจำหน่ายสินค้าคงทน อาทิ รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ที่ยังคงหดตัวลง ยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์ และภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ที่ชะลอตัวลง นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรม ก็ยังคงมีทิศทางที่ลดต่ำลงอีกในเดือนกุมภาพันธ์
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจที่มีทิศทางชะลอตัวลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา อาจยังมีแนวโน้มไม่ฟื้นตัวดีขึ้นได้เร็ว ภายใต้สถานการณ์ที่ประชาชนยังขาดความเชื่อมั่นโดยเฉพาะต่อประเด็นความเสี่ยงทางการเมืองภายในประเทศและการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบจากทางการ ดังนั้น การประสานนโยบายการเงินและการคลังจากทางการ จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนในขณะนี้ที่จะต้องดำเนินการเพื่อพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของภาคเอกชนให้กลับมาปรับตัวดีขึ้นโดยเร็ว หรืออาจกล่าวได้ว่า นอกเหนือจากความพยายามในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐแล้ว การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนคลายลงด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. ก็น่าที่จะมีผลในเชิงบวกต่อบรรยากาศเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
• การปรับตัวของตลาดสะท้อนการคาดการณ์การลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้วพอสมควร
เมื่อพิจารณาความเคลื่อนไหวของตลาดเงินและตลาดทุน จะพบว่า ตลาดการเงินได้มีการปรับตัวรับการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.50 ไปแล้วพอสมควร ดังจะเห็นได้จาก ทิศทางอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน ที่ลดลงจากร้อยละ 4.53125-4.5625 นับตั้งแต่การประชุมรอบก่อนหน้าในเดือนกุมภาพันธ์ (28 ก.พ.) ขยับเข้าสู่ร้อยละ 4.28125 ล่าสุดในวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา ในขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ประเภทอายุ 1 เดือน ถึง 19 ปี ปรับตัวลดลงมาแล้ว 16-60 จุด นับจากวันที่ 28 กุมภาพันธ์ จนถึงขณะนี้ (5 เม.ย.) โดย ณ วันที่ 5 เมษายน 2550 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 3 เดือน ถึง 6 ปี ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 4.0 แล้ว
• ผลทางอ้อมต่อค่าเงินบาทและต้นทุนการออกพันธบัตรของธปท.
แม้ว่าปัจจัยความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทจะไม่ใช่น้ำหนักหลักที่ธปท.พิจารณาสำหรับการตัดสินใจนโยบายอัตราดอกเบี้ยตามกรอบ Inflation Targeting เพราะธปท.คงไม่ได้มุ่งหวังที่จะกำหนดค่าเงินบาทไว้ที่ระดับใดระดับหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่เอื้ออำนวย (ความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อไม่น่ากังวลมากเท่าในอดีต และความเสี่ยงทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจมีน้ำหนักมากขึ้นอย่างชัดเจน) การตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมรอบนี้ (11 เม.ย.) ก็น่าจะเป็นผลบวกต่อแนวโน้มค่าเงินบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของไทยที่ลดต่ำลง คงจะทำให้ค่าผลต่างอัตราดอกเบี้ยในประเทศเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ มีขนาดที่กว้างขึ้น (หากธปท.ลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.50 จริงตามคาด ค่าผลต่างอัตราดอกเบี้ยไทยและสหรัฐฯ จะกว้างขึ้นจากร้อยละ 0.75 มาเป็นร้อยละ 1.25 อันเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยซึ่งจะลดลงจากร้อยละ 4.50 มาที่ร้อยละ 4.00 ขณะที่อัตราดอกเบี้ย Fed Funds ของสหรัฐฯ ยังมีระดับเท่าเดิมที่ร้อยละ 5.25) ซึ่งก็น่าจะช่วยลดแรงจูงใจสำหรับการนำเงินเข้ามาลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทนระดับสูงในประเทศไทยลง อีกทั้ง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. ยังน่าจะช่วยให้ต้นทุนการดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินออกจากระบบการเงินผ่านการออกพันธบัตรธปท.ในระยะข้างหน้า มีระดับที่ลดลงตามไปด้วย ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อฐานะทางการเงินของธปท.ในระยะถัดไป
โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. อาจมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลงอีกร้อยละ 0.50 จากร้อยละ 4.50 มาที่ร้อยละ 4.00 ในการประชุมรอบที่สามของปีในวันที่ 11 เมษายน 2550 ทั้งนี้เนื่องจากแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องน่าจะเอื้อให้ธปท.สามารถดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยในทิศทางที่ผ่อนคลายลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาวะปัจจุบันที่ความเสี่ยงทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจเริ่มมีน้ำหนักชัดเจนมากขึ้น ซึ่งความเคลื่อนไหวของตลาดเงินและตลาดทุนก็บ่งชี้ว่าตลาดได้ปรับตัวรับการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธปท.ไปแล้วพอสมควร ในขณะเดียวกัน หากธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจริงตามคาด ก็น่าจะเป็นผลดีต่อแนวโน้มค่าเงินบาท รวมทั้งน่าจะช่วยให้ธปท.มีต้นทุนการดูดซับสภาพคล่องผ่านการออกพันธบัตรที่ถูกลงในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ หากการตัดสินใจของธปท.เป็นไปตามที่คาด อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมของระบบธนาคารพาณิชย์คงจะมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลงตามมาในไม่ช้า ขึ้นอยู่กับฐานะสภาพคล่องของแต่ละธนาคารและภาวะการแข่งขันว่ามีมากน้อยเพียงใด สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท.ในระยะถัดไปนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า ธปท.อาจมีความยืดหยุ่นที่จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีก (ร้อยละ 0.25 เป็นอย่างน้อย ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท.ขยับลงมาที่ร้อยละ 3.75) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคงจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเครื่องชี้เศรษฐกิจโดยเฉพาะทางด้านการใช้จ่ายในประเทศ ความเชื่อมั่นของภาคเอกชน สถานการณ์ทางการเมือง ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน ตลอดจนทิศทางของค่าเงินบาท เป็นสำคัญ


