CCP เผยผลประกอบการไตรมาสแรก สะท้อนสัญญาณฟื้นตัวในอนาคต

ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรีเผยไตรมาสแรก ปี 2550 ควบคุมต้นทุนได้ดี ทำให้อัตรากำไรชั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12.12% แต่รายได้ลดลง 1.42% ตามการชะลอตัวของโครงการก่อสร้างและตลาดอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่มีดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 23.10% เป็นเหตุให้ผลประกอบการยังขาดทุน อย่างไรก็ตาม มั่นใจหลังเปิดประมูล 4 โครงการเมกะโปรเจคภาครัฐ และการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์รับทิศทางดอกเบี้ยขาลง จะช่วยให้ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นอีกครั้ง

นายประทีป ทีปกรสุขเกษม ประธานกรรมการบริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ “CCP” เปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 1 ปี 2550 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 777.11 ล้านบาท ลดลง 11.21 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากการชะลอตัวของโครงการก่อสร้างและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวม ประกอบกับบริษัทฯ นำเรื่องอัตรากำไรมาประกอบการพิจารณาเลือกรับงานมากขึ้น เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของฐานะการเงินในระยะยาวของบริษัทฯ ซึ่งการเลือกรับงานนี้ แม้จะทำให้รายได้ในไตรมาสนี้ลดลง แต่พบว่าบริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 2.90% หรือ 2.65 ล้านบาท มาอยู่ที่ 94.17 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประกอบกับบริษัทฯ สามารถควบคุมต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากการใช้ระบบบัญชี SAP (System Application Products) มาช่วยในการบริหารจัดการภายใน จึงทำให้ในไตรมาส 1/2550 นี้ อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12.12% เทียบกับ 11.61% ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีต้นทุนขายและบริการ และค่าใช้จ่ายในการขาย การบริการและบริหาร อยู่ที่ 682.95 ล้านบาท และ 62.74 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่าน ซึ่งอยู่ที่ 696.80 ล้านบาท และ 64.83 ล้านบาท ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกนี้ บริษัทฯ มีดอกเบี้ยจ่าย 39.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.51 ล้านบาท หรือ 23.10% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2549 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสแรกปีนี้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา จึงเป็นสาเหตุให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 5.41 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับผลประกอบการของไตรมาส 1/2549 แม้ว่าจะมีรายได้รวมลดลงก็ตาม

สำหรับธุรกิจคอนกรีตที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ ไตรมาสแรกพบว่า มีรายได้ลดลงเป็นไปตามทิศทางเดียวกับผู้ประกอบการคอนกรีตรายอื่นในอุตสาหกรรม โดยมีรายได้อยู่ที่ 502.65 ล้านบาท ลดลง 59.55 ล้านบาท หรือ 10.59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกนี้ บริษัทฯ สามารถควบคุมต้นทุนขายในการดำเนินธุรกิจคอนกรีตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีต้นทุนขาย 437.51 ล้านบาท ลดลงจาก 507.97 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2549 ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.91 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20.13% มาอยู่ที่ 65.14 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจคอนกรีตเพิ่มขึ้นอย่างมาก อยู่ที่ 12.96% จาก 9.65% ในไตรมาส 1/2549

“ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจโดยรวมที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้การลงทุนก่อสร้างทั้งโครงการภาครัฐและภาคเอกชนหยุดชะงัก ซึ่งปีนี้ บริษัทฯ มีนโยบายชัดเจนที่จะพิจารณาเลือกรับงานอย่างรอบคอบ ไม่เน้นเร่งยอดรายได้แต่เพียงอย่างเดียว โดยจะพิจารณากำไรที่จะได้รับประกอบกับความเหมาะสมด้านอื่นๆ ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ความต้องการใช้คอนกรีตในประเทศจะมีปริมาณมากขึ้น เนื่องจากมีความชัดเจนจากภาครัฐว่า ในเดือนสิงหาคมปีนี้ จะสามารถเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วง พร้อมโครงการลงทุนขนาดใหญ่อีก 2 แห่ง คือ โครงการรถไฟรางคู่เชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบัง และโครงการก่อสร้างทางด่วนพิเศษเชื่อมโยงสนามบินสุวรรณภูมิ ประกอบกับการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์จากปัจจัยบวกเรื่องทิศทางดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงอีกในครึ่งปีหลัง และความชัดเจนของสถานการณ์ทางการเมือง ที่รัฐบาลกำหนดในเบื้องต้นแล้วว่า อาจจัดให้มีการเลือกตั้งได้ภายในปีนี้ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในการขยายลงทุนและกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมาอีกครั้งในครึ่งปีหลัง”

“สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานของบริษัทย่อย ในส่วนธุรกิจร้านค้าปลีกโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน พบว่า ยอดขายของ “กันยงโฮมสโตร์” ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพัทยาและชลบุรี ประกอบกับบริษัทฯ ได้มีการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายตลอดทั้งปี ขณะที่ธุรกิจอิฐมวลเบา ปัจจุบันบริษัทฯ ได้มีการทยอยปรับขึ้นราคาจำหน่ายให้สะท้อนกับต้นทุนการผลิตมากขึ้น ควบคู่กับพัฒนารูปแบบสินค้าให้มีความหลากหลาย และเพิ่มประสิทธิภาพงานบริการ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมาเป็นลำดับ จึงมั่นใจว่า ผลประกอบการของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่คาดว่าจะมีการปรับตัวลงอีกในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทฯ ลดลงตามไปด้วยนั้น จะเป็นส่วนที่จะช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการของ CCP ปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้” นายประทีปกล่าว