การประชุม FOMC 7 ส.ค. คาดเฟดตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 5.25 ตามเดิม

ในวันที่ 7 สิงหาคม 2550 คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด จะมีการประชุมรอบที่ 5 ของปี เพื่อพิจารณาทิศทางนโยบายการเงินหรืออัตราดอกเบี้ย Fed Funds ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 5.25 ไม่เปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่ที่เฟดได้สิ้นสุดวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2549 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า แม้ว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (3 ส.ค.) ทางการสหรัฐฯจะประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและดัชนีภาคการบริการของสถาบันจัดการด้านอุปทาน (Institute for Supply Management: ISM) เดือนกรกฎาคมที่อ่อนแอกว่าคาด กอปรกับปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะสำหรับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำหรือซับไพร์มของสหรัฐฯ ที่อาจขยายวงกว้างไปสู่ภาคเศรษฐกิจอื่น จะตอกย้ำถึงแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเพิ่มโอกาสมากขึ้นสำหรับการที่เฟดอาจพิจารณาผ่อนคลายนโยบายการเงินด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคต แต่ในการประชุมรอบวันที่ 7 สิงหาคมนี้ เฟดคงจะมีมติให้ตรึงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้เท่าเดิมที่ร้อยละ 5.25 เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังไม่ได้ปรับลดลงมามากเท่าที่คาดหวัง น่าจะยังเป็นปัจจัยที่เฟดให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกอยู่

สำหรับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา พอสรุปได้ดังนี้ :-

ความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยที่เฟดให้ความสำคัญ

จากเครื่องชี้ภาวะเงินเฟ้อล่าสุดในเดือนมิถุนายน บ่งชี้ว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งทยอยปรับตัวลดลงเข้าสู่กรอบที่เฟดรู้สึกว่าปกติ (comfort zone) ที่ระดับไม่เกินร้อยละ 2.0 และมีแนวโน้มว่าจะชะลอตัวลงอีกตามภาวะเศรษฐกิจในระยะถัดไป อย่างไรก็ตาม ภาพรวมอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯในขณะนี้ที่ยังไม่ได้ชะลอตัวลงชัดเจนมากเท่าที่คาดหวัง ผนวกกับแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกที่ยังผันผวนใกล้ระดับสถิติสูงสุด อาจทำให้เฟดมีแนวโน้มจะให้น้ำหนักหลักอยู่ที่ประเด็นเรื่องเงินเฟ้อและคงจะไม่พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะใกล้นี้ ในขณะเดียวกัน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อปัจจุบันที่ยังอยู่ภายใต้การบริหารจัดการได้ ก็คงจะทำให้เฟดยังไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นภาวะเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน โดยเครื่องชี้ภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ได้แก่

อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ในเดือนมิถุนายน 2550 อัตราทั่วไป (Headline CPI Inflation) อยู่ที่ร้อยละ 2.7 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (year-on-year: YoY) ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนพฤษภาคม ในขณะที่ อัตราพื้นฐาน (Core CPI Inflation) อยู่ที่ร้อยละ 2.2 (YoY) ลดลงจากร้อยละ 2.3 ในเดือนก่อน

อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาผู้ผลิตสำหรับสินค้าขั้นสุดท้าย (Producer Price Index for Finished Goods: PPI) ในเดือนมิถุนายน 2550 อัตราทั่วไป (Headline PPI Inflation) อยู่ที่ร้อยละ 3.2 (YoY) ขยับลงจากร้อยละ 3.9 ในเดือนพฤษภาคม ส่วนอัตราพื้นฐาน (Core PPI Inflation) อยู่ที่ร้อยละ 1.8 (YoY) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.6 ในเดือนก่อน

อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาการใช้จ่ายผู้บริโภคส่วนบุคคล (Personal Consumption Expenditure Price Index: PCE) ในเดือนมิถุนายน 2550 อัตราทั่วไป (Headline PCE Inflation) อยู่ที่ร้อยละ 2.3 (YoY) ลดลงจากร้อยละ 2.4 ในเดือนพฤษภาคม เช่นเดียวกับอัตราพื้นฐาน (Core PCE Inflation) ซึ่งเป็นตัวแปรที่เฟดมักใช้ประกอบการพิจารณานโยบายการเงิน อยู่ที่ร้อยละ 1.9 (YoY) ขยับลงจากร้อยละ 2.0 ในเดือนก่อน และอยู่ในกรอบ comfort zone แล้ว

ความเสี่ยงทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจอาจเริ่มปรากฏชัดเจนมากขึ้นในระยะข้างหน้า

จากเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯจะฟื้นตัวดีขึ้นได้ในไตรมาส 2/2550 หลังจากที่ชะลอตัวลงชัดเจนในไตรมาสแรก แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงอีกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทั้งนี้เนื่องจากกำลังซื้อหรือความมั่งคั่งของผู้บริโภคมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากภาวะที่ถดถอยลงของภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะหากปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำหรือซับไพร์มลุกลามไปยังภาคเศรษฐกิจอื่น อีกทั้งจากการชะลอตัวลงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ดังสะท้อนได้จากการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดและอัตราการว่างงานที่ขยับขึ้นในเดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่ได้แสดงถึงภาวะที่เลวร้ายหรือน่าวิตกจนเฟดจำเป็นต้องเร่งผ่อนคลายนโยบายการเงินด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในระยะใกล้นี้ โดยเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่
การจ้างงานนอกภาคการเกษตร ในเดือนกรกฎาคม 2550 เพิ่มขึ้นเพียง 92,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (consensus forecasts) ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 135,000 ตำแหน่ง อีกทั้งยังมีการทบทวนปรับลดขนาดการเพิ่มขึ้นของตัวเลขในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนลงด้วย กระนั้นก็ดี ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2550 เศรษฐกิจสหรัฐฯมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในอัตราประมาณ 136,000 ตำแหน่งเฉลี่ยต่อเดือน เทียบกับที่เพิ่มขึ้นประมาณ 189,000 ตำแหน่งเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2549 ในทิศทางที่สอดคล้องกัน อัตราการว่างงานในเดือนกรกฎาคม ขยับขึ้นมาที่ร้อยละ 4.6 จากร้อยละ 4.5 ในเดือนมิถุนายน

ดัชนีภาคการผลิตและดัชนีภาคการบริการ สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) รายงานดัชนีภาคการผลิตในเดือนกรกฎาคมที่ระดับ 53.8 ปรับลงจากระดับ 56.0 ในเดือนมิถุนายน เช่นเดียวกัน ดัชนีภาคการบริการอยู่ที่ระดับ 55.8 ลดลงจากระดับ 60.7 อย่างไรก็ตาม ดัชนีทั้งสองยังอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการของสหรัฐฯยังคงอยู่ในภาวะขยายตัว

จีดีพี ในไตรมาส 2/2550 เศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตในอัตราร้อยละ 3.4 (quarter-on-quarter annualized) ฟื้นตัวดีขึ้นจากที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.6 ในไตรมาสแรก อันเป็นผลจากการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงต่ำกว่าร้อยละ 3.0 ในช่วงครึ่งหลังของปี โดยมีสาเหตุมาจากการถดถอยลงของภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดแรงงาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังการใช้จ่ายของผู้บริโภค

ยอดขายบ้าน เครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังแสดงถึงสัญญาณการชะลอตัวลง โดยในเดือนมิถุนายน 2550 ยอดขายบ้านใหม่ลดลงมาที่ 834,000 หน่วย หรือลดลงร้อยละ 6.6 จาก 893,000 หน่วยในเดือนพฤษภาคม เช่นเดียวกัน ยอดขายบ้านมือสองขยับลงมาที่ 5.75 ล้านหน่วย จาก 5.98 ล้านหน่วย หรือลดลงร้อยละ 3.8

ตลาดเพิ่มโอกาสที่เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงภายในสิ้นปีนี้

ถึงแม้ว่าตลาดจะคาดการณ์ด้วยความเป็นไปได้ใกล้ร้อยละ 100 ว่าเฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่ร้อยละ 5.25 ตามเดิมในการประชุมวันที่ 7 สิงหาคมนี้ แต่ภายหลังการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและดัชนีภาคการบริการของสถาบัน ISM ที่อ่อนแอกว่าคาดในเดือนกรกฎาคม ประกอบกับความวิตกกังวลที่มีอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับปัญหาในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ หลังมีบริษัทที่ประสบปัญหาคุณภาพสินเชื่อเพิ่มขึ้น ได้ทำให้ตลาดเพิ่มความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะเริ่มพิจารณาผ่อนคลายนโยบายอัตราดอกเบี้ยลงภายในสิ้นปีนี้ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา สัญญาอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ล่วงหน้า (Fed Funds Futures) ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนธันวาคม 2550 ได้ปรับตัวลงมาที่ร้อยละ 4.96 เทียบกับที่อยู่ที่ร้อยละ 5.06 เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า และที่อยู่ที่ร้อยละ 5.25 ในเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ตาม มุมมองที่มีต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของตลาดจะมีการปรับเปลี่ยนได้ค่อนข้างรวดเร็วตามการปรับตัวของข้อมูลเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในแต่ละขณะ ซึ่งทำให้ยังต้องติดตามความเคลื่อนไหวของเครื่องชี้ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป

โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด คงจะมีมติให้ตรึงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่ร้อยละ 5.25 ตามเดิมในการประชุมรอบที่ 5 ของปีในวันที่ 7 สิงหาคม 2550 นี้ โดยเฟดน่าจะยังคงให้น้ำหนักหลักอยู่ที่ความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อที่ยังไม่ปรับตัวลดลงมาอย่างชัดเจนเท่าที่คาดหวัง ในขณะที่แม้ว่าจะมีสัญญาณที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯมากขึ้น แต่การปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้มีทิศทางที่เลวร้ายจนเฟดจำเป็นต้องรีบผ่อนคลายนโยบายอัตราดอกเบี้ยลงในระยะใกล้ กระนั้นก็ดี มีโอกาสมากขึ้นที่เฟดอาจจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงภายในสิ้นปีนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและดัชนีภาคการบริการของสถาบัน ISM ออกมาอ่อนแอกว่าที่คาดในเดือนกรกฎาคม ประกอบกับความวิตกกังวลที่มีอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับปัญหาในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ที่อาจขยายวงกว้างไปสู่ภาคเศรษฐกิจอื่น ซึ่งยังต้องติดตามการปรับตัวของเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ตลอดจนแถลงการณ์หลังการประชุมของเฟด ที่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯในระยะถัดไป

สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้น ทิศทางอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่คงจะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) พิจารณาในการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของไทย แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง อาจจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันให้อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก รวมทั้งเงินบาทของไทย ซึ่งเงินบาทที่อาจมีแนวโน้มแข็งค่า จะส่งผลกระทบต่อความสามารถทางการแข่งขันของภาคการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย และอาจมีผลต่อการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของกนง.ได้เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในการประชุมวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา