• ประธานคนใหม่จีเอ็มมั่นใจศักยภาพและความสำเร็จแบรนด์เชฟโรเลต
• เตรียมขยายตลาดในอาเซียน พร้อมเปิดตลาดเชฟโรเลตข้ามภูมิภาค
• เน้นกลยุทธ์เสริมบริการหลังการขายมัดใจลูกค้า
จีเอ็ม และ เชฟโรเลต เปิดตัวประธานกรรมการคนใหม่ครั้งแรกในรอบ 8 ปี อย่างเป็นทางการ ประกาศยึดนโยบายเดิม พร้อมเดินเกมรุกเต็มตัวขยายตลาด เพิ่มส่วนแบ่งทั้งตลาดไทย และอาเซียน เน้นสร้างฐานลูกค้าเพิ่ม เสริมบริการหลังการขาย สร้างความสัมพันธ์และความพึงพอใจสูงสุดกับลูกค้า พร้อมปั้นเชฟโรเลตให้น่าเกรงขามในตลาดรถยนต์ไทยและอาเซียน
มร.สตีเฟน เค. คาร์ไลส์ ประธานกรรมการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำักัด เข้ารับตำแหน่งพร้อมเปิดตัวต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ที่ จีเอ็ม และเชฟโรเลต มีการเปลี่ยนแปลงประธานกรรมการบริษัทฯ หลังจากเข้ารับตำแหน่ง พร้อมสานต่อความสำเร็จของ มร.วิลเลี่ยม บอทวิค ที่นำแบรนด์เชฟโรเลตเข้ามาบุกเบิกในตลาดรถยนต์เมืองไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่เมื่อปี 2543 ขณะเดียวกัน มร.คาร์ไลส์ ทราบเป็นอย่างดีถึงการดำเนินงานของ จีเอ็ม และเชฟโรเลต ในประเทศไทยขณะนี้ จะไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มลูกค้าในภาวะที่ไม่มั่นคงของทั้งเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจในปัจจุบัน
“ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันของประเทศไทย ทำให้การดำเนินธุรกิจของเราในช่วงสั้นนี้เป็นไปอย่างลำบาก แต่เราก็ไม่สามารถที่จะหยุดอยู่นิ่งๆ และอ้างว่าเป็นผลจากสถานการณ์ที่ำกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้” มร.คาร์ไลส์เกริ่นนำ พร้อมกล่าวต่อไปอีกว่า “ความแน่วแน่ในปรัชญาการดำเนินงานในศตวรรษใหม่ของจีเอ็มคือ เราวางแผนที่จะกวาดทุกยอดจำหน่าย และสร้างแบรนด์ของเราให้มั่นคงในทุกมุมมอง เพื่อแสดงให้ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มลูกค้าของเราได้เห็นว่า จีเอ็มเป็นบริษัทรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามในตลาดภูมิภาคอาเซียน”
เอเชีย แปซิฟิก เป็นหนึ่งในตลาดที่จีเอ็มประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ และมีบทบาทสำคัญในแผนการพลิกฟื้นสถานะทางการเงินของจีเอ็มในระดับโลก ขณะที่จีเอ็มเพิ่งประกาศยอดของผลประกอบการออกมา ซึ่งในไตรมาสที่ 2 นี้ จีเอ็มมียอดผลประกอบการอยู่ที่ 891 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันของเมื่อปีที่ผ่านมา ที่จีเอ็มเพิ่งประสบภาวะขาดทุนมากถึง 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในไตรมาสที่ 3 ของทุกปีจะเป็นช่วงที่สร้างผลกำไรให้จีเอ็มในระดับโลก และเป็นข่าวดีของจีเอ็มในตลาดเอเชีย แปซิฟิก และตลาดอื่น ๆ ที่ผลการดำเนินงานสร้างกำไรสุทธิสูงถึง 227 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมากกว่าผลประกอบการของจีเอ็มในตลาดอเมริกาเหนือและยุโรป
“ความจริงจังของเราที่จะสร้างอัตราเจริญเติบโตในตลาดทั่วโลก กำลังส่งผลย้อนกลับมาให้เราเป็นบริษัทที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และสร้างผลกำไรได้มากขึ้น” มร.ริค แวกอเนอร์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น กล่าวไว้ในแถลงการณ์ของจีเอ็ม
สำหรับประเทศไทยในฐานะที่เป็นหนึ่งในตลาดที่ำมีบทบาทสำคัญของจีเอ็ม ใน เอเชีย แปซิฟิก กลยุทธ์ที่สำคัญของจีเอ็มที่จะประสบความสำเร็จในประเทศไทยคือ การนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ และพัฒนารถรุ่นเดิมให้มีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ซึ่งรถยนต์รุ่นใหม่ของจีเอ็มในตลาดเมืองไทยขณะนี้มี 2 รุ่น คือ รถอเนกประสงค์เอสยูวี เชฟโรเลต แคปติวา ที่นำเสนอเครื่องยนต์ดีเซล สมรรถนะสูงในตลาด ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา และ เชฟโรเลต ออพตร้า รุ่นปรับโฉมใหม่ ซึ่งมีทั้งรูปแบบของรถซีดาน 4 ประตู และรถเอสเตท 5 ประตู ที่เพิ่งเข้าไปสู่โชว์รูมของเชฟโรเลตทั้ง 103 แห่งทั่วประเทศพร้อมกันเมื่อวานนี้
นอกจากการเปิดตัวรถรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องแล้ว ทางเชฟโรเลตกำลังจะมีการลงทุนครั้งใหญ่อีกครั้งในการดำเนินกลยุทธ์สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า โดยเพิ่มบริการหลังการขายในด้านต่างๆ เช่น ศูนย์บริการเชฟโรเลตเคลื่อนที่ (Chevy Mobile Service) การให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (24-Hour Roadside Assistance) บริการเปลี่ยนถ่าย ตรวจเช็ค 20 รายการภายใน 29 นาที (Go-Fast Express Service)
ขณะเดียวกันเชฟโรเลตได้มีการลงทุนในประเทศไทยอีก 600 ล้านบาท เพื่อขยายคลังอะไหล่แห่งที่ 2 (Chevrolet Parts Delivery Center) ให้ใหญ่กว่าเดิมถึง 3 เท่า บนเนื้อที่ 8,800 ตารางเมตร เพื่อรองรับการขยายตัวของลูกค้าและปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ลูกค้าได้รับการบริการด้านอะไหล่ที่รวดเร็วขึ้น
สำหรับแผนในระยะยาว ทางจีเอ็มยังมีแผนเดินหน้าอย่างเต็มที่ เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่าย และการตลาดของแบรนด์เชฟโรเลต ข้ามภูมิภาคโดยผ่านศูนย์จีเอ็มในภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น จีเอ็ม ประเทศอินโดนีเซีย จีเอ็ม ประเทศฟิลิปปินส์ จีเอ็ม โอดีซี (GMODC – GM Overseas Distribution Corporation) ไฮ-คอม โมบิล ประเทศ มาเลเซีย และ วีแดมโค ประเทศเวียตนาม
ตลาดรถยนต์ของจีเอ็มในภูมิภาคอาเซียนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนในปัจจุบัน ตลาดอาเซียนนั้นใหญ่เป็นอันดับ 4 ในทวีปเอเชีย รองจากตลาดในประเทศจีน อินเดีย และญี่ปุ่นเท่านั้น โดยมียอดจำหน่ายสูงอยู่ใน 3 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็น 3 จาก 11 ตลาดโลกที่จีเอ็มกำหนดไว้ให้เป็นฐานสำคัญเพื่อการลงทุนและพัฒนา ตั้งแต่ปี 2543 ยอดจำหน่ายของจีเอ็มในภูมิภาคอาเซียนมีส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 0.8% มาเป็น 2.2% ในช่วงสิ้นปี 2549 ขณะที่จีเอ็มในประเทศไทยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 1.5% มาเป็น 3.4% ในปี 2549
แผนระยะยาวที่สำคัญสำหรับจีเอ็มในอาเซียนคือ การให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้าเพื่อสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์เชฟโรเลต และในขณะเดียวกัน ความสามารถในการผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในภูมิภาคอาเซียนยังคงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดของบริษัทฯ ซึ่งทำให้ จีเอ็ม สร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสมตรงต่อความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในภูมิภาคนี้
อย่างเช่นในประเทศไทย จีเอ็มวางแผนที่จะเพิ่มรถรุ่นใหม่และปรับโฉมรถรุ่นเดิมในทุกๆ รุ่น เพื่อสร้างโอกาสในการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในแต่ละเซกเมนท์ โดย GMDAT ในประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นศูนย์วิศวกรรมการผลิตรถยนต์และการออกแบบรถยนต์ของจีเอ็มในทวีปเอเชีย และเป็นส่วนสำคัญของแผนการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ในทวีปเอเชีย ซึ่ง GMDAT เป็นศูนย์การออกแบบที่มีศักยภาพในภูมิภาคนี้ ที่จะสร้างข้อได้เปรียบให้กับจีเอ็มที่จะพัฒนาออกแบบรถยนต์ให้เหมาะสมกับวิถีการใช้ชีวิต ความต้องการของกลุ่มลูกค้าในทวีปเอเชีย ปัจจุบันนับเป็นเวลา 5 ปีเต็มแล้ว จากการก่อตั้งศูนย์การผลิตรถยนต์และการออกแบบ GMDAT ขณะที่กลุ่มลูกค้าในอาเซียนก็ได้เห็นผลงานของการออกแบบรถยนต์คุณภาพดีของ GMDAT กันมาแล้ว
“จากการทำงานเป็นผู้นำฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์สำหรับเอเชีย แปซิฟิก ซึ่งเป็นตำแหน่งเดิมของผมนั้น ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสที่ได้เข้ามารับบทบาทในการวางแผนนำรถยนต์ออกสู่ตลาดทั่วภูมิภาคอาเซียน…และแคปติวาก็เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบตัวอย่างหนึ่ง ที่จีเอ็มประสบความสำเร็จในภูมิภาคนี้ เชฟโรเลตแคปติวาจะไม่ใช่แค่ตัวอย่างสุดท้ายของเราแน่นอน” มร.สตีเฟน เค. คาร์ไลส์ กล่าวสรุป