กสิกรไทย-เจบิก ร่วมฉลองครบรอบ 120 ปีความสัมพันธ์ ไทย-ญี่ปุ่น จับมือปล่อยกู้เอสเอ็มอีและผู้ประกอบการที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจไทย-ญี่ปุ่นวงเงินกู้รวม 7,000 ล้านบาท กู้ได้สูงสุดรายละ 525 ล้านบาท ผ่อนนานสุดถึง 14 ปี
มร.ทากายะ ไนโต ผู้อำนวยการบริหารภูมิภาคเอเซียและแปซิฟิก ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิก) กล่าวว่า เจบิกมีนโยบายให้การสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีในประเทศต่าง ๆ เนื่องจากเล็งเห็นว่าเอสเอ็มอีเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของทุกประเทศ ดังนั้นการมีเอสเอ็มอีที่เข้มแข็งจะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศนั้นมีความ แข็งแกร่ง มั่นคงขึ้นไปด้วย
สำหรับประเทศไทยนั้น เอสเอ็มอีมีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่งแล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่มีความต้องการเงินทุนในระยะยาวเข้ามาสนับสนุนกิจการ ดังนั้นเจบิกจึงได้ร่วมมือธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ให้ความสำคัญในการให้บริการแก่เอสเอ็มอีมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ที่ผ่านมามีการคิดค้นบริการและกิจกรรมเพื่อเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการเลือกธนาคารกสิกรไทยเป็น พันธมิตรในการปล่อยสินเชื่อระยะยาวแก่เอสเอ็มอีจำนวน 7,000 ล้านบาท จะช่วยให้เอสเอ็มอีได้รับการสนับสนุนสินเชื่ออย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นการพัฒนาเอสเอ็มอีของไทยในระยะยาวได้อย่างต่อเนื่อง
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมกับธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือเจบิก ให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นกสิกรไทย (K-J Related Credit) แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศไทย วงเงินกู้รวม 7,000 ล้านบาท หรือ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นระยะเวลานาน 14 ปี ซึ่งเป็นข้อเสนอด้านสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่พิเศษกว่าที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มโอกาสทางการลงทุนสำหรับลูกค้า เอสเอ็มอีให้ยั่งยืนขึ้น
เงินกู้ดังกล่าวทางเจบิกได้ร่วมกับธนาคารของญี่ปุ่น 8 แห่ง ปล่อยกู้ให้แก่ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกในไทยที่ได้รับความร่วมมือในลักษณะนี้ เพื่อนำไปปล่อยกู้ต่อให้แก่ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศไทย ที่มียอดขายระหว่าง 50 ล้านบาทถึง 5,000 ล้านบาท ในวงเงินกู้ สูงสุดรายละ 525 ล้านบาท หรือสูงสุด 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สามารถเลือกกู้เป็นสกุลเงินบาท ดอลลาร์สหรัฐ หรือเป็นเงินเยนได้ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน (SWAP) มีระยะเวลาการผ่อนชำระตั้งแต่ 1-7 ปี และสามารถขยายเวลาผ่อนชำระได้สูงสุดถึง 14 ปี รวมทั้งผู้กู้สามารถเลือกประเภทอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้ทั้งแบบคงที่และลอยตัวได้ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะพิจารณาจากสถานะของลูกค้าแต่ละราย
สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่จะกู้เงินในโครงการดังกล่าว ต้องเป็นบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย หรือบริษัทของไทยที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับญี่ปุ่น ทั้งการค้าขายโดยตรงหรือทางอ้อมกับบริษัทญี่ปุ่นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือเป็นบริษัทไทยที่มีแผนการทำธุรกิจกับบริษัทญี่ปุ่นในช่วง 2 ปีข้างหน้า หรือเป็นกิจการร่วมค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในประเทศไทย ทั้งนี้ธุรกิจที่ดำเนินการต้องไม่ เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือค้าอาวุธสงคราม หรือก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
นายบัณฑูร กล่าวว่า สินเชื่อเพื่อธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นกสิกรไทย จะเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ประกอบการไทย และบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยที่ต้องการเงินทุนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่ง ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะได้ประโยชน์จากเงินกู้ดังกล่าวมาก เนื่องจากสามารถเลือกสกุลเงินกู้ให้ สอดคล้องกับรายรับของบริษัทได้ถึง 3 สกุล ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต การให้วงเงินกู้สูงถึง 525 ล้านบาทต่อรายจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีแหล่งเงินในการดำเนินธุรกิจหรือขยายธุรกิจได้อย่างเพียงพอ ในขณะที่ระยะเวลาการกู้ยืมนานสูงสุดถึง 14 ปี จะช่วยให้เอสเอ็มอีมีแหล่งเงินทุนระยะยาวไว้ดำเนินธุรกิจที่แน่นอน ลดภาระในการผ่อนชำระคืนในแต่ละปี ทำให้สามารถวางแผนธุรกิจและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในระยะยาวได้อย่างเต็มที่