แนวโน้มบัตรเครดิตไตรมาสที่ 4: กระตุ้นการใช้จ่าย…ฝ่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น

นับได้ว่าการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิตตั้งแต่ต้นปี 2550 ที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ท้าทายผู้ประกอบการอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าตั้งแต่ต้นปี 2550 ธุรกิจบัตรเครดิตต้องเผชิญกับปัจจัยรุมเร้าต่างๆ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว ความไม่แน่นอนทางการเมือง การขู่วางระเบิดตามห้างสรรพสินค้าในช่วงต้นปี การแข็งค่าของเงินบาท และราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการบัตรเครดิตต่างปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อรับมือกับปัจจัยต่างๆ ผู้ประกอบการมีการโหมแคมเปญการตลาดอย่างหนัก เพื่อกระตุ้นตลาดบัตรเครดิต ไม่ว่าจะเป็นการทำตลาดร่วมกับพันธมิตรมากขึ้น เพื่อขยายฐานบัตรใหม่ การกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตท่ามกลางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการใช้จ่าย จะเห็นได้ว่าภาพรวมปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในไตรมาส 3 ปี 2550 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยมีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 176,419 ล้านบาท โดยขยายตัว 12.07% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากไตรมาส 2 ที่มีการเติบโต 13.38%

อย่างไรก็ดีในช่วงไตรมาส 4 ของปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่สูงที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลคริสตร์มาส ปีใหม่ ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้า เพื่อให้เป็นของขวัญ และการจัดงานฉลองด้วย นอกจากนี้ยังเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของคนไทย ทำให้ผู้ประกอบการต่างเร่งทำการตลาดร่วมกับพันธมิตรร้านค้า ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนชำระสินค้าแบบ 0% การคืนเงิน (Cash Back) เข้าบัญชีหรือในรูปแบบของคูปอง เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในวงเงินที่กำหนด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในช่วงที่เหลือของปี อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การขยายตัวของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในไตรมาส 4 ปี 2550 น่าจะยังคงชะลอตัว โดยมูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตน่าจะอยู่ที่ประมาณ 194,410 ล้านบาท ขยายตัว 12.38% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2549 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2550 เล็กน้อย เนื่องจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะการจ้างงาน ในอนาคตได้และระดับรายได้ในอนาคต นอกจากนี้ตัวแปรที่สำคัญอย่างราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่าค่าโดยสารรถประจำทางและเรือโดยสารได้มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นแล้ว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงที่เหลือของปีได้

ภาวะตลาดบัตรเครดิตไตรมาส 3 ของปี 2550

ทั้งนี้ จากการพิจารณาตัวเลขบัตรเครดิต ณ ไตรมาส 3 ปี 2550 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า:

ปริมาณบัตรเครดิตไตรมาส 3 ปี 2550 ขยายตัวเพิ่มขึ้น ยกเว้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย
ทั้งนี้ปริมาณบัตรเครดิตในไตรมาส 3 ปี 2550 มีจำนวน 11,562,158 บัตร และขยายตัว 8.51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากที่ขยายตัว 7.38% ในไตรมาส 2 ทั้งนี้เมื่อแยกพิจารณาตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ไตรมาส 3 ปี 2550 ปริมาณบัตรเครดิตธนาคารพาณิชย์ไทยมีการขยายฐานบัตรเครดิตที่ชะลอลง คือ ในไตรมาส 3 ปี 2550 มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 4,581,726 บัตร และมีการเติบโต 7.92% (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 11.03% ในไตรมาส 2 ทั้งนี้การขยายตัวของบัตรเครดิตที่ชะลอตัวลงในกลุ่มนี้ อาจเป็นไปได้ที่เกิดจากการที่ธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดกลางได้ชะลอการทำแคมเปญการตลาดสำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตลง ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์ไทยรายใหญ่ยังคงทำการตลาดขยายฐานบัตรใหม่อย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่กลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศมีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 1,280,226 บัตร ในไตรมาส 3 ปี 2550 โดยขยายตัว 8.27% (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากที่ขยายตัว 7.27% ในไตรมาส 2 สำหรับสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non-Bank มีอัตราการขยายตัวของบัตรเครดิตใหม่ที่ค่อนข้างเด่นกว่ากลุ่มอื่นในไตรมาส 3 ปี 2550 โดยมีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 5,700,206 บัตร โดยขยายตัว 9.05% (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่ขยายตัว 4.60% ในไตรมาส 2 ทั้งนี้การขยายฐานบัตรใหม่ที่เติบโตขึ้นในไตรมาสนี้ของผู้ประกอบการกลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศละกลุ่ม Non-Bank คาดว่า ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการทำตลาดบัตรเครดิตที่มีอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยมีการจัดแคมเปญการตลาดออกมาเป็นระยะเพื่อขยายฐานบัตรเครดิตอย่างต่อเนื่อง เช่น ผู้ประกอบการบางรายได้ร่วมกับพันธมิตรออกบัตรเครดิต เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าเฉพาะ (Specialty stores) เป็นต้น ซึ่งผู้บริโภคจะได้รับสิทธิประโยชน์จากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เช่น ได้รับส่วนลดในการซื้อสินค้า ที่ออกร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการบัตรเครดิตและร้านค้าพันธมิตร

การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ในไตรมาส 3 ปี 2550 โดยรวมชะลอตัว…ผลจากภาวะเศรษฐกิจ

ภาพรวมปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 3 ปี 2550 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 176,419 ล้านบาท โดยขยายตัว 12.07% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากไตรมาส 2 ที่มีการเติบโต 13.38%

ทั้งนี้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ชะลอลงในไตรมาส 3 ปี 2550 นั้น สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันที่ได้ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ภาคครัวเรือนส่วนใหญ่ก็มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากยังมีความไม่มั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจ และรายได้ในอนาคต ดังสะท้อนในดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับลดลง

นอกจากนี้การชะลอตัวดังกล่าวยังเป็นผลมาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20%(รวมค่าธรรมเนียมไม่เกิน 20%) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2550 และการปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 10% ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2550 ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของผู้บริโภคบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่มียอดคงค้าสินเชื่อบัตรเครดิตที่สูง และผู้ที่มีสินเชื่อบัตรเครดิตมากกว่า 1 บัตร

โดยเมื่อแยกพิจารณาตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ไตรมาส 3 ปี 2550 ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยมีมูลค่า 83,104 ล้านบาท โดยขยายตัว 12.16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 15.19% ในไตรมาส ในส่วนของกลุ่มผู้ประกอบการสาขาธนาคารต่างประเทศมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทั้งสิ้น 26,650 ล้านบาท และขยายตัว 21.49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 23.51% ในไตรมาส 2

สำหรับปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์นั้นเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นในไตรมาสนี้ โดยในไตรมาส 2 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 64,639 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัว 8.20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นจากที่ขยายตัว 7.30% ในไตรมาส 2 ทั้งนี้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของกลุ่มสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในกลุ่มนี้ น่าจะเป็นผลมาจากการที่ผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง และมีการขยายฐานลูกค้าจากระดับกลางไปยังกลุ่มลูกค้าระดับบนมากขึ้น ทำให้มูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของผู้ประกอบการบางรายเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ และโดยเฉพาะการทำตลาดบัตรเครดิตของผู้ประกอบการที่มีบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจค้าปลีกที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือ ดิสเคานท์สโตร์ เป็นต้น

ปริมาณสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตไตรมาส 3 ของปี 2550 ชะลอตัวทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ภาพรวมปริมาณสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตโดยรวมชะลอลง โดยไตรมาส 3 ปี 2550 มีปริมาณสินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น 170,419 ล้านบาท และขยายตัวในอัตรา 6.26% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 9.86% ในไตรมาส 2 โดยหากแยกพิจารณาเป็นรายผู้ประกอบการแล้วจะพบว่า ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทย มีปริมาณยอดคงค้างทั้งสิ้น 57,403 ล้านบาท หรือขยายตัว 9.79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 13.5% จากไตรมาส 2 ในขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมีปริมาณสินเชื่อคงค้างในไตรมาส 3 ปี 50 อยู่ที่ 34,768 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัว 6.80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจาก 10.58% ในไตรมาส 2 โดยการขยายตัว 6.8% ดังกล่าว นับได้ว่าเป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงมากเมื่อเทียบกับการขยายตัวของยอดสินเชื่อคงค้างในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา สำหรับยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ก็มีปริมาณอยู่ที่ 78,248 ล้านบาท โดยขยายตัว 3.58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากที่ขยายตัว 7.03% ในไตรมาส 2

ทั้งนี้ยอดสินเชื่อคงค้างทั้งระบบที่มีการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงนั้น น่าจะมีสาเหตุจากปัจจัยต่อไปนี้

• ผู้ประกอบการบัตรเครดิตมีการเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นและมีการติดตามผู้ถือบัตรที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในเรื่องของคุณภาพของสินเชื่อในระบบ เมื่อลูกค้ามีการผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิต ผู้ประกอบการอาจจะพิจารณายกเลิกบัตรล่วงหน้าก่อนเวลาต่ออายุบัตรจริง
• การปรับขึ้นการผ่อนชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตจากเดิม 5% เป็น 10% มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2550 ที่ผ่านมา ที่คาดว่าส่งผลต่อสัดส่วนการผ่อนชำระสินเชื่อเพิ่มขึ้นในลูกค้าบางกลุ่ม

• การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 18% เป็น 20% ที่น่าจะมีส่วนทำให้ผู้ที่ผ่อนชำระบัตรเครดิตรายเดือน อาจจะหันมาชำระแบบเต็มจำนวนหรือชำระมากกว่าที่เคยชำระในแต่ละเดือน เพื่อร่นระยะเวลาในการผ่อนชำระให้เร็วขึ้น

• ผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิตบางกลุ่มได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ภาวะค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระต่อผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิตที่ไม่สามารถผ่อนชำระบัตรเครดิตได้ตามเวลาที่กำหนด ทำให้ผู้ถือบัตรเครดิตกลุ่มนี้จำเป็นต้องใช้สินเชื่อเงินสด (รีไฟแนนซ์) ซึ่งเหตุนี้อาจจะทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง

ปริมาณการเบิกเงินสดล่วงหน้าบัตรเครดิตของไตรมาส 3 ปี 2550 โดยรวมปรับตัวลดลง

ภาพรวมของการเบิกเงินสดล่วงหน้าในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 3 ปี 2550 มีปริมาณอยู่ที่ 47,692 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 9.28% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 11.22% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเมื่อแยกพิจารณาเป็นรายผู้ประกอบการแล้วพบว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยมีปริมาณการเบิกเงินสดล่วงหน้าในไตรมาส 3 ปี 2550 มีปริมาณอยู่ที่ 32,449 ล้านบาท ขยายตัวเพียง 9.79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่เคยขยายตัว 14.00% ในไตรมาส 2 สำหรับกลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศนั้น ยังคงมีอัตราการขยายตัวที่ค่อนข้างสูงแม้ว่าจะชะลอตัวก็ตาม โดยมีปริมาณอยู่ที่ 3,425 ล้านบาท ขยายตัว 27.32% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากที่เคยขยายตัว 35.54% ในไตรมาส 2 ซึ่งอัตราการขยายตัวที่สูงมากดังกล่าว ส่วนหนึ่งน่าจะยังคงเป็นผลจากการเทียบจากฐานที่ต่ำกว่า ส่วนในกลุ่มผู้ประกอบการสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์นั้นมีปริมาณอยู่ที่ 11,818 ล้านบาท ขยายตัว 3.72% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่หดตัวลง 0.70% ในไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้การชะลอตัวของการบริการเบิกเงินสดล่วงหน้าจากบัตรเครดิตดังกล่าวสอดคล้องกับพฤติกรรมการชะลอตัวของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของผู้บริโภคดังที่กล่าวไปแล้วในข้างต้น

โค้งสุดท้ายบัตรเครดิตปี 2550: กระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไตรมาส 4…ฝ่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น

ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2550 ที่ผ่านมา การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวลดลง อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านการเมือง ซึ่งสะท้อนโดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลกระทบต่อธุรกิจบัตรเครดิต ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการต่างแข่งกันทำตลาดกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตอย่างหนัก โดยการเพิ่มสิทธิประโยชน์บัตรเครดิต การออกบัตรเครดิตร่วมกับพันธมิตร เพื่อให้ผู้ถือบัตรเครดิตหันมาใช้จ่ายซื้อสินค้าผ่านบัตรแทนเงินสดมากขึ้น แต่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตตั้งแต่ต้นปี 2550 ยังคงชะลอลง โดยภาพรวมปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 3 ปี 2550 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 176,419 ล้านบาท โดยขยายตัว 12.07% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากไตรมาส 2 ที่มีการเติบโต 13.38%

อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 4 ปี 2550 ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการบัตรเครดิตต่างคาดหวังที่จะเห็นการเติบโตของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในระดับที่สูงกว่าในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการบัตรเครดิตต่างเร่งทำการตลาดเพื่อทำเป้ารายได้สินเชื่อที่บัตรเครดิตให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องจากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนับได้ว่าเป็นฤดูแห่งการใช้จ่าย หรือเทศกาลของขวัญ (เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่) และยังเป็นอีกช่วงหนึ่งที่คนไทยนิยมเดินทางท่องเที่ยว ทำให้ในช่วงนี้ผู้บริโภคจะมีการใช้จ่ายมากเป็นพิเศษ จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่ผู้ประกอบการต่างเร่งทำแคมเปญกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากในช่วงนี้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2546-2549 มูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในไตรมาสสุดท้ายของแต่ละปีมีการเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นกว่าไตรมาสอื่น

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในไตรมาส 4 ปี 2550 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 194,410 ล้านบาท ขยายตัว 12.38% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2549 สูงกว่าในไตรมาส 3 เล็กน้อย แต่ยังคงต่ำกว่าที่เคยขยายตัว 15.34% ในไตรมาส 4 ปี 2549 ถึงแม้ว่าในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ จะมีปัจจัยบวกที่น่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต อาทิ เทศกาลของขวัญ และฤดูกาลท่องเที่ยว รวมทั้งการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งน่าจะมีผลต่อดีต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

อย่างไรก็ตามปัจจัยลบที่มีส่วนทำให้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในไตรมาส 4 ปี 2550 มีอัตราที่ชะลอลง เทียบกับอัตราการขยายตัวในช่วงเดียวกันของปี 2549 คือ

การปรับขึ้นของราคาน้ำมันที่ขึ้นมาอยู่ระดับสูง ที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต การขนส่งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าค่ารถโดยสารประจำทางได้ทำการปรับขึ้นราคาแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า หากราคาน้ำมันยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคน่าจะทยอยปรับเพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนตุลาคม 2550 อยู่ที่ร้อยละ 2.5 เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน ที่อยู่ที่ร้อยละ 2.1 ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ เป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งราคาน้ำมันเบนซิน 95 และดีเซล ณ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 อยู่ที่ลิตรละ 31.99 บาท และ 28.94 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้การปรับขึ้นราคาสินค้าย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภค ซึ่งภาระรายจ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้น และแน่นอนว่าการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าย่อมส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลของขวัญของลูกค้าบางกลุ่ม

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20% ถึงแม้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการ แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระในอนาคตได้ นอกจากนี้การปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 10% ในวันที่ 1 เมษายน 2550 ที่ผ่านมาแล้วนั้น ถึงแม้ว่าการปรับขึ้นยอดการผ่อนชำระขั้นต่ำจะช่วยร่นระยะเวลาการผ่อนชำระยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตให้เร็วขึ้น แต่การปรับขึ้นยอดการผ่อนชำระขั้นต่ำอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในเรื่องของความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้าผู้ถือบัตรได้ มาตรการทั้ง 2 จึงน่าจะมีส่วนสำคัญที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มีระดับรายได้ปานกลางถึงล่าง และผู้บริโภคที่มียอดคงค้างชำระสินเชื่อบัตรเครดิตที่สูง และส่งผลกระทบต่อตัวเลขการขยายตัวที่เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (year-on-year)

ทิศทางการแข่งขันธุรกิจบัตรเครดิตอย่างในช่วงที่เหลือของปี 2550 น่าจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยผู้ประกอบการบัตรเครดิตยังคงเดินหน้าทำแคมเปญการตลาดส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยเน้นการทำตลาดร่วมกับพันธมิตร อาทิ ห้างสรรพสินค้า สายการบิน โรงแรม และร้านค้าเฉพาะอย่าง (Specialty Stores) มากขึ้น อย่างไรก็ตามท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า โดยรวมยังมีปัจจัยที่น่ากังวล อาทิ ภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ปัจจัยเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อลดลงได้ ทำให้ผู้ประกอบการยังคงต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องของความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ซึ่งเมื่อเกิดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้นความเสี่ยงของสินเชื่อในระบบเพิ่มขึ้นด้วย

ถึงแม้ว่าการขยายตัวของยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงก็ตาม แต่สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิตบางกลุ่มไม่สามารถผ่อนชำระยอดคงค้าบัตรเครดิตได้ ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ต้องทำการปรับลักษณะการก่อหนี้ หรือหันไปพึ่งพาสินเชื่อเงินสด เพื่อนำมาชำระหนี้บัตรเครดิต ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับประมาณการณ์ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิต คาดว่า สินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตในไตรมาส 4 ปี 2550 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 188,500 ล้านบาท ขยายตัว 10.23% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2549 ซึ่งชะลอลงจากการขยายตัวที่ 17.31% (มีมูลค่า 636,113 ล้านบาท) ในปี 2549
บทสรุปและข้อคิดเห็น

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า การชะลอตัวของธุรกิจบัตรเครดิตโดยรวมในช่วงที่ผ่านมานั้น น่าจะเกิดจากปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะการปรับขึ้นราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการชะลอการใช้จ่ายของประชาชน รวมทั้งเกิดจากมาตรการของทางการ ได้แก่ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20 % มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2550 และการปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 10% ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2550 ซึ่งจะเห็นได้ว่าธุรกิจบัตรเครดิตไตรมาส 3 ปี 2550 ยังคงขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยภาพรวมปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในไตรมาส 3 ปี 2550 มีมูลค่าทั้งสิ้น 176,419 ล้านบาท ขยายตัว 12.07% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอตัวลงจากไตรมาส 2 ที่มีการเติบโต 13.38%

อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 4 ของปี คาดว่า จะมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่สูง เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล เป็นฤดูแห่งการใช้จ่าย หรือเทศกาลของขวัญ (เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่) และยังเป็นอีกช่วงหนึ่งที่คนไทยนิยมเดินทางท่องเที่ยว เป็นช่วงที่ธุรกิจบัตรเครดิตน่าจะมีการเติบโตเร่งขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการบัตรเครดิตต่างเร่งทำการตลาดเพื่อเร่งทำเป้ารายได้สินเชื่อที่บัตรเครดิตให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ โดยผู้ประกอบการบัตรเครดิตเน้นการทำตลาดร่วมกับพันธมิตร อาทิ ห้างสรรพสินค้า สายการบิน โรงแรม และร้านค้าเฉพาะอย่าง (Specialty Stores) มากขึ้น อาทิ ผู้ซื้อสินค้าสามารถผ่อนชำระสินค้าแบบ 0% ผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมกับร้านค้านั้นๆ การเพิ่มคะแนนสะสมเพื่อแลกของรางวัล การให้ของสมนาคุณจากยอดใช้จ่ายผ่านบัตร การเสนอรายการคืนเงินเมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร และการมอบส่วนลดในการซื้อสินค้าต่างๆ ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการบัตรเครดิตยังคงใช้เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าชำระค่าสินค้าผ่านบัตรเครดิตแทนเงินสด เป็นต้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการทุกกลุ่มให้ความสำคัญต่อกลยุทธ์กระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต

อย่างไรก็ตามในช่วงที่เหลือของปี 2550 นั้น ธุรกิจบัตรเครดิตอาจจะยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันที่สูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภคบางกลุ่ม ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในไตรมาส 4 ปี 2550 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 194,410 ล้านบาท ขยายตัว 12.38% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2549 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 แต่ต่ำกว่าจากที่ขยายตัว 15.34% ในไตรมาส 4 ปี 2549

นอกจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงแล้ว ความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อของผู้บริโภคบางกลุ่มยังถูกกระทบจากปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจด้วย ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับลดประมาณการณ์ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิต คาดว่า สินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตในไตรมาส 4 ปี 2550 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 188,500 ล้านบาท ขยายตัว 10.23% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2549 ซึ่งชะลอลงจากการขยายตัวที่ 17.31% (มีมูลค่า 636,113 ล้านบาท) ในปี 2549 โดยการขยายตัวยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สาเหตุส่วนหนึ่งจะมาจากการปรับลักษณะการก่อหนี้ของผู้ที่ได้รับผลกระทบในการผ่อนชำระสินเชื่อบัตรเครดิตทำให้ต้องหันมาพึ่งสินเชื่อเงินสดมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า การแข่งขันธุรกิจบัตรเครดิตที่รุนแรงในขณะนี้ ผู้บริโภคย่อมได้รับประโยชน์จากการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการ ซึ่งจะเห็นได้จากแคมเปญการตลาดที่พยายามเพิ่มสิทธิประโยชน์ในบัตรเครดิต การใช้บัตรเครดิตเพื่อเป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าหรือบริการ ตลอดจนการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพื่อรับ หรือแลกของรางวัล เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคชำระสินค้าผ่านบัตรเครดิตแทนเงินสดมากขึ้น นอกจากนี้ผู้บริโภคที่ประสบกับปัญหาสภาพคล่องสามารถใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าหรือบริการก่อนได้ และสามารถผ่อนชำระบัตรเครดิตได้เป็นรายเดือน โดยไม่จำเป็นต้องชำระเป็นเงินก้อน

ถึงแม้ว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันก็ตาม แต่ผู้บริโภคควรคำนึงถึงว่า การชำระสินค้าหรือบริการผ่านบัตรเครดิตเปรียบเสมือนการนำเงินในอนาคตมาใช้ เมื่อถึงรอบบัญชีเรียกเก็บหากชำระไม่เต็มจำนวนก็จะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยในรอบบัญชีถัดไป ซึ่งหากผู้ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่มีความระมัดระวัง ก็อาจจะก่อให้เกิดการสะสมเป็นวงเงินที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระในอนาคตได้ ทั้งนี้ผู้บริโภคควรวางแผนการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เช่น การกำหนดวงเงินใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในแต่ละเดือน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการผ่อนชำระภายหลัง นอกจากนี้สิ่งที่ผู้ใช้บัตรเครดิตควรคำนึงถึง คือ อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต ซึ่งในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตได้ถูกปรับขึ้นเป็น 20% ซึ่งทำให้ผู้ที่ชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำ หรือชำระไม่เต็มจำนวน ได้รับผลกระทบในอนาคตได้