เลิกชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม : ผลดีและผลเสีย

ในที่สุดกระทรวงพลังงานก็ตัดสินใจยกเลิกให้การชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไป ทำให้ต้องมีการปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นอีก 1.20 บาทต่อกิโลกรัม จากที่ได้มีการควบคุมราคาไว้ในปัจจุบันที่กิโลกรัมละ 16.81 บาท ก็เพิ่มขึ้นไปเป็น 18.01 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งก๊าซที่ใช้ในครัวเรือน-ภัตตาคาร-ร้านอาหาร-โรงแรม ก๊าซที่ใช้ในรถแท๊กซี่ รถสามล้อเครื่อง และก๊าซรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยกตัวอย่างเช่น ก๊าซหุงต้มที่บรรจุถังขนาด 15 กิโลกรัมที่นิยมใช้ภายในครัวเรือนปัจจุบันมีราคาควบคุมไว้ที่ถังละ 252 บาท เมื่อปรับขึ้นไปอีกกิโลกรัมละ 1.20 บาท ราคาใหม่ก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น 270 บาทต่อถัง หรือเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 7.1 นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานยังมีแผนการปรับราคาหน้าโรงกลั่นให้สอดคล้องกับราคาตลาดโลก ที่ปัจจุบันทางการควบคุมราคาก๊าซฯหน้าโรงกลั่นไว้ไม่ให้เกิน 320 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ราคาตลาดโลกเวลานี้สูงถึงตันละ 650 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจะปรับราคา ในทุกไตรมาสของปี 2551จนถึงไตรมาสแรกของปี 2552 อันเป็นกระบวนการปรับราคาเพื่อนำไปสู่ การลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มทั้งระบบอย่างสมบูรณ์

การค้าก๊าซหุงต้มในประเทศไทย : ยุคแรกมุ่งใช้แทนถ่านและฟืน

การค้าก๊าซหุงต้มภายในประเทศเกิดขึ้นมานานนับ 30-40 ปีแล้ว โดยในยุคแรกๆนั้นผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ เช่น บริษัท เชลล์ เอสโซ่ และซัมมิท เริ่มจำหน่ายก๊าซหุงต้มบรรจุถังสำหรับใช้ในครัวเรือนแทนการใช้ถ่านและฟืนก่อน การจำหน่ายในระยะเริ่มแรกก็จำกัดอยู่แต่เฉพาะในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ๆเท่านั้น เพราะไม่ค่อยได้รับความนิยมเนื่องจากฟืนและถ่านมีราคาถูกกว่าก๊าซมาก ซ้ำยังหาซื้อได้ง่ายอีกด้วย นอกจากนั้น ประชาชนในสมัยนั้นก็ยังไม่คุ้นเคยกับการใช้ก๊าซหุงต้มเพราะกลัวอันตรายว่าจะเกิดการระเบิดระหว่างการ ประกอบอาหาร และยังมีความเชื่อที่ฝังใจว่าการใช้ก๊าซหุงต้มเป็นเชื้อเพลิงในการประกอบอาหารจะทำให้รสชาติของอาหารไม่อร่อยเท่ากับการใช้เตาถ่าน

ต่อมาในปี2522-2524ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่มีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย และรัฐบาลของฯพณฯพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ในสมัยนั้น ก็ได้ประกาศนโยบายให้การส่งเสริมการใช้แหล่งทรัพยากรภายในประเทศ ประกอบกับในช่วงเวลาเดียวกันก็ได้เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันโลกครั้งที่ 2 ขึ้น จึงยิ่งเป็นแรงผลักดันให้การผลิตและใช้ก๊าซธรรมชาติเร่งตัวขึ้นอย่างเต็มที่เพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากต่างประเทศที่มีราคาแพงขึ้นมาก และเกิดภาวะขาดแคลนในบางช่วง นอกจากนั้น ยังมีการรณรงค์ให้ประชาชนลดการตัดไม้ทำลายป่าทำให้การใช้ฟืนและถ่านลดลงอย่างมาก รัฐบาลจึงใช้ช่วงจังหวะนั้นกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ก๊าซหุงต้มแทนการใช้ถ่านไม้และฟืน อย่างไรก็ตาม ปริมาณการจำหน่ายก๊าซหุงต้มในประเทศยุคแรกๆระหว่างปี2520-2529ก็มีปริมาณการจำหน่ายไม่มากนักประมาณ 140,000-600,000 ตันต่อปีเท่านั้นเอง โดยมีราคาจำหน่ายที่ควบคุมราคาโดยรัฐในช่วงนั้นระหว่างกิโลกรัมละ3.30-9.30บาทต่อกิโลกรัม ตามขนาดถังบรรจุก๊าซ ซึ่งในยุคนั้นมี 6 ขนาด คือ 12,14.5,15,25,45 และ 50 กิโลกรัมต่อถัง ตามลำดับ

ยุคที่สองของการค้าก๊าซหุงต้ม : การแข่งขันเชิงพาณิชย์ขยายตัวรวดเร็ว

ดังได้กล่าวแล้วว่า การค้าก๊าซหุงต้มในยุคแรกๆ ก่อนที่จะมีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยนั้น ประเทศไทยมีผู้จำหน่ายก๊าซหุงต้มเพียง 3 รายเท่านั้น คือ เชลล์แก๊ส เอสโซ่แก๊ส และซัมมิทแก๊ส(สตาร์แก๊ส) แต่หลังจากนั้นก็มีปตท.เข้ามาสู่ระบบตลาดการจำหน่ายก๊าซหุงต้มเพิ่มเติมอีก 1 ราย โดยการเข้ามาในฐานะหน่วยงานของรัฐ ดังนั้น ในช่วงจังหวะนี้เองรัฐและปตท.ก็ได้ส่งเสริมให้มีการจำหน่ายก๊าซรายใหม่ๆเพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวของการจำหน่ายก๊าซหุงต้มภายในประเทศให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยสามารถใช้คลังก๊าซของปตท.ในภูมิภาคต่างๆในเวลานั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดจำหน่าย โดยที่ปตท.ไม่คิดค่าบริการคลังเก็บก๊าซแต่ประการใด จากการดำเนินการดังกล่าวทำให้ในปี 2528 จึงได้เกิดผู้ค้าก๊าซหุงต้มรายใหม่ขึ้นมาอีก 3 ราย ได้แก่ เวิลด์แก๊ส ยูนิคแก๊ส และสยามแก๊ส ในขณะเดียวกัน ผู้ค้าก๊าซรายเก่าก็มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การค้า และการลงทุน ภายหลังเผชิญวิกฤตการณ์น้ำมันในระหว่างปี 2522-2524 กล่าวคือ เชลล์แก๊ส เอสโซ่แก๊ส และสตาร์แก๊ส ได้เลิกกิจการค้าก๊าซ โดยเชลล์ และสตาร์แก๊สขายกิจการให้เวิลด์แก๊ส ส่วนเอสโซ่ขายกิจการให้ยูนิคแก๊ส แต่ภายหลังจากนั้นอีกประมาณ 3 ปี สตาร์แก๊สได้หวนคืนกลับสู่ตลาดค้าก๊าซหุงต้มอีกครั้งหนึ่ง และยังมีผู้ค้ารายใหม่เข้ามาสู่วงการอีก 3 ราย คือ แก๊สปิคนิค แสงทองแก๊ส และสยามแก๊สแอนด์ปิโตรเคมีคัลล์ ทำให้ในปัจจุบันมีผู้ค้าก๊าซหุงต้มในประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 8 รายด้วยกัน โดยมีปริมาณการจำหน่ายก๊าซหุงต้มในประเทศช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550รวมทั้งสิ้น2.68 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.9 ส่วนราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มในเขตกทม.อยู่ที่ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.81 บาท สำหรับถังบรรจุก๊าซที่มัการจำหน่ายกันในปัจจุบันจะมี 6 ขนาด คือ ขนาด 4 กิโลกรัม 7 กิโลกรัม 11.5 กิโลกรัม 13.5 กิโลกรัม 15 กิโลกรัม และ 48 กิโลกรัม

การควบคุมราคาก๊าซหุงต้มในอดีต : ก่อเกิดปัญหาตามมาถึงปัจจุบัน

ในช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่สองระหว่างปี 2522-2524 รัฐบาลได้เข้าแทรกแซงราคาน้ำมันมาเป็นระยะๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเศษฐกิจ และการครองชีพของประชาชน โดยได้จัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันในประเทศไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยใช้วิธีการตรึงราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการครองชีพของประชาชน ซึ่งก็คือ ก๊าซหุงต้ม และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้มีราคาต่ำ และรัฐเป็นผู้จ่ายเงินชดเชยราคาจำหน่ายจากกองทุนน้ำมัน และขึ้นราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันประเภทอื่นให้สูงกว่าราคาจริง เพื่อนำเงินส่วนเกินผลักเข้ากองทุนน้ำมัน ซึ่งในกรณีของน้ำมันดีเซลนั้นที่รัฐได้ประกาศลอยตัวไปแล้วตั้งแต่ปี 2548 แต่ยังไม่มีการลอยตัวราคาก๊าซหุงต้ม ดังนั้น การตรึงราคาก๊าซหุงต้มไว้ให้มีราคาต่ำดังกล่าวเป็นเวลานานๆ แม้วิกฤตการณ์น้ำมันโลกจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ยังมีการตรึงราคาอยู่ต่อไปทำให้โครงสร้างราคาก๊าซหุงต้มถูกบิดเบือนไปจากราคาที่เป็นจริงมาโดยตลอด จนก่อให้เกิดผลเสียติดตามมาในหลายด้านจากการที่ราคาก๊าซหุงต้มมีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์น้ำมันชนิดอื่นมาก ทำให้มีการใช้ก๊าซไปในทางอื่นทดแทนน้ำมันนอกเหนือจากวัตถุประสงค์หลักที่ใช้ในภาคครัวเรือน เช่น ใช้ก๊าซในรถแท๊กซี่ รถสามล้อเครื่อง ในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งก็ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของกองทุนน้ำมันที่จะให้การอุดหนุนการใช้ที่ผิดวัตถุประสงค์ดังกล่าว ทำให้กองทุนน้ำมันต้องแบกภาระการให้การชดเชยราคาก๊าซหุงต้มมากขึ้นจนกระทั่งถึงปัจจุบัน กล่าวคือ ราคาก๊าซหุงต้มหน้าโรงกลั่นน้ำมันของไทยที่ทางการได้กำหนดเพดานไว้ไม่ให้เกิน 320 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน( 10.90 บาทต่อกิโลกรัม) แต่ราคาตลาดโลกเคลื่อนไหวอยู่ที่ 650-700 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ทำให้โรงกลั่นและโรงแยกก๊าซต้องแบกรับภาระไว้ถึง ประมาณ 12-13 บาทต่อกิโลกรัม

ดังนั้น ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 กระทรวงพลังงานจึงได้ออกประกาศเลิกให้การชดเชยราคาก๊าซหุงต้มในส่วนที่กองทุนน้ำมันให้การอุดหนุนอยู่ที่ 0.8265 สตางค์ต่อกิโลกรัม แต่เมื่อรวมกับค่าขนส่งแล้ว ทำให้ราคาก๊าซหุงต้มปรับขึ้นไปที่กิโลกรัมละ 1.20 บาท เช่น ถังก๊าซขนาดบรรจุ 15 กิโลกรัม ปัจจุบันมีราคาจำหน่ายปลีกที่ถังละ 252 บาท หรือเฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.81 บาท ก็จะปรับราคาขึ้นไปเป็นถังละ 270 บาท หรือเฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.01 บาท เท่ากับปรับราคาขึ้นไปประมาณ 7.1 % ที่สำคัญกระทรวงพลังงานยังระบุด้วยว่า การปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มครั้งนี้ไม่ให้มีการขยับค่าการตลาดที่ปัจจุบันผู้ค้าก๊าซได้รับอยู่ที่กิโลกรัมละ 3.2566 บาท รวมทั้งยังคงเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตรากิโลกรัมละ 2.17 บาทเหมือนเดิมต่อไป ส่วนค่าขนส่งนั้นจะขึ้นอยู่กับเส้นทางจากคลังเก็บก๊าซต้นทางไปยังจังหวัดปลายทาง ซึ่งการลดให้การชดเชยราคาก๊าซฯดังกล่าว เป็น แผนการขั้นที่ 1 สำหรับการดำเนินมาตรการในปี 2550 นี้ ส่วนแผนการขยับราคาก๊าซในปี 2551-2552 เพื่อนำไปสู่การลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มอย่างสมบูรณ์ ที่คาดว่าจะสำเร็จเสร็จสิ้นภายในไตรมาสแรกของปี 2552 มีขั้นตอน ดังนี้

ไตรมาสที่ 1 ปี 2551 :ปรับเพดานราคาก๊าซฯโดยใช้ราคาเฉลี่ยจากต้นทุนโรงแยกก๊าซฯในประเทศ 95% กับราคาเฉลี่ยก๊าซฯในตลาดโลก 5%

ไตรมาสที่ 2 ปี2551 : ปรับเพดานราคาก๊าซฯโดยใช้ราคาเฉลี่ยจากต้นทุนโรงแยกก๊าซฯในประเทศ90% กับราคาเฉลี่ยก๊าซฯในตลาดโลก 10%

ไตรมาสที่ 3 ปี2551 : ปรับเพดานราคาก๊าซฯโดยใช้ราคาเฉลี่ยจากต้นทุนโรงแยกก๊าซฯในประเทศ 80%กับราคาเฉลี่ยก๊าซในตลาดโลก 20%

ไตรมาสที่ 4 ปี2551 : ปรับเพดานราคาก๊าซฯโดยใช้ราคาเฉลี่ยจากต้นทุนโรงแยกก๊าซในประเทศ 70%กับราคาเฉลี่ยก๊าซฯในตลาดโลก 30%

ไตรมาสที่1ปี2552 : ลอยตัวสมบูรณ์โดยใช้ราคาเฉลี่ยต้นทุนโรงแยกก๊าซ 60% กับราคาเฉลี่ย ก๊าซฯในตลาดโลก 40%

ผลกระทบที่ตามมา : จากการเลิกชดเชยราคา…สู่การลอยตัวเต็มที่

การตัดสินใจยกเลิกให้การชดเชยราคาก๊าซหุงต้มของกระทรวงพลังงาน ที่มีผลในที่ 1 ธันวาคม 2550 ทำให้ราคาก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้นอีกในอัตรา 1.20 บาท/กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 7.1 จากราคาปัจจุบัน ย่อมส่งผลกระทบในด้านต่างๆ พอที่จะสรุปได้ ดังนี้

ผลกระทบเชิงบวก

1.การยกเลิกให้การชดเชยราคาก๊าซฯในครั้งนี้ จะเป็นก้าวแรกเพื่อนำไปสู่การลอยตัวราคาก๊าซทั้งระบบ และเพื่อให้ราคาก๊าซฯสะท้อนต้นทุนราคาก๊าซฯที่เป็นจริงในตลาดโลกในระยะต่อไป เพราะราคาก๊าซฯในปัจจุบัน เป็นราคาที่ถูกบิดเบือนมาเป็นเวลานาน ทำให้ราคาที่ผู้บริโภคจ่ายในปัจจุบันต่ำกว่าความเป็นจริงอย่างมาก กล่าวคือราคาก๊าซฯหน้าโรงกลั่นที่รัฐกำหนดอยู่ที่ 320 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน ขณะที่ราคาก๊าซฯตลาดโลกในปัจจบันที่ใช้ราคาเฉลี่ยนย้อนหลัง 3 เดือน(ต.ค.-ธ.ค. 50)อยู่ที่ 650 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน เท่ากับว่าราคาในประเทศต่ำกว่าราคาตลาดโลกถึงร้อยละ 50 การปรับราคาก๊าซฯครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการทยอยปรับราคาแบบค่อยเป็นค่อยไป ก่อนที่จะลอยตัวสมบูรณ์ในระยะต่อไป ซึ่งก็เป็นการส่งสัญญาณให้ผู้บริโภคเตรียมตัวรับกับการปรับราคาที่จะมีขึ้นอีกต่อไป ตามแผนการปรับราคาก๊าซฯของกระทรวงพลังงานตลอดปี 2551-ไตรมาสแรกของปี 2552

2. การปรับราคาก๊าซฯให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง จะช่วยให้การใช้ก๊าซฯมีลักษณะที่ประหยัด สะท้อนคุณค่าที่แท้จริงของการใช้พลังงาน และมีประสิทธิภาพในการใช้มากขึ้น ทั้งนี้ จากโครงสร้างราคาก๊าซฯที่ถูกกดให้ต่ำกว่าราคาพลังงานประเภทอื่นอย่างมาก เช่น ในขณะนี้(1 ธ.ค.50) ราคาก๊าซหุงต้มอยู่ที่ลิตรละ 9.74 บาท แต่ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 อยู่ที่ลิตรละ 32.89 บาท จะเห็นว่าราคาก๊าซฯต่ำกว่าเบนซินถึงลิตรละ 23.12 บาท หรือแม้แต่น้ำมันดีเซลที่ขณะนี้มีราคาที่ลิตรละ19.34 บาท ก็ยังแพงกว่าก๊าซฯถึงลิตรละ 19.57 บาท จากโครงสร้างราคาที่แตกต่างกันอย่างมากเช่นนี้ ได้สร้างนิสัยที่เคยชินให้กับผู้บริโภคที่ได้ใช้ของราคาถูกจากการที่รัฐเข้าไปให้การชดเชยราคามาเป็นเวลานาน ทำให้การใช้ก๊าซฯเป็นไปอย่างไม่ประหยัด ขาดประสิทธิภาพ และผิดวัตถุประสงค์ แทนที่จะใช้ในภาคครัวเรือนเป็นหลัก กลับมีการนำไปใช้ในรถยนต์จนทำให้มีการปรับแต่งเครื่องยนต์หันไปใช้ก๊าซฯแทนการใช้น้ำมันมากขึ้น รวมทั้งมีการดัดแปลงถังบรรจุเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมที่อาจจะไม่ปลอดภัย การใช้กาซฯที่ผิดวัตถุประสงค์เช่นนี้จึงไม่เป็นการสะท้อนคุณค่าของการใช้พลังงานเพื่อภาคการผลิตที่มีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง ซึ่งหากยังปล่อยให้การใช้ก๊าซฯเป็นไปในลักษณะนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

3.สกัดกั้นการลักลอบส่งออกก๊าซฯ การที่รัฐได้ให้การชดเชยราคาก๊าซฯภายในประเทศ มาอย่างยาวนานนั้น มีผลให้ราคาก๊าซฯในประเทศไทยมีราคาถูกกว่าในประเทศเพื่อนบ้านมาก ทั้งในเวียดนาม สปป.ลาว และกัมพูชา เป็นต้น ทำให้มีการลักลอบส่งออกก๊าซฯไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพราะได้รับผลกำไรมากกว่าขายในประเทศ ดังนั้น การปรับราคาก๊าซฯให้สะท้อนราคาที่เป็นจริงของตลาด ก็จะช่วยแก้ปัญหาการลักลอบส่งออกก๊าซฯได้ในที่สุด นอกจากนี้ ยังเป็นการป้องกันปัญหาการขาดแคลนก๊าซฯภายในประเทศที่ขณะนี้มีการนำไปใช้ในรถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยปีที่แล้วมีการใช้ก๊าซฯในรถยนต์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 51.6 และในช่วง 10 เดือนแรก 2550 ก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ผลกระทบเชิงลบ

1.การปรับขึ้นราคาก๊าซฯในครั้งนี้ เป็นการปรับในช่วงจังหวะเวลาที่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา กล่าวคือ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2550 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 มีราคาลิตรละ 28.79 บาท วันนี้(1 ธ.ค.50) ราคาขึ้นไปที่ลิตรละ 32.89 บาท เท่ากับแพงขึ้นถึงลิตรละ 4.1 บาท หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ14.2 เพียงแค่เวลา 3 เดือนเท่านั้นเอง ทำให้ประชาชนที่มีภาระหนักจากการปรับขึ้นราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว กลับต้องมาแบกรับภาระเพิ่มเติมด้วยการปรับราคาก๊าซฯที่เพิ่มขึ้นไปอีกอย่างน้อยร้อยละ 7 จากราคาก่อนหน้านี้

2.ภาคครัวเรือนได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นราคาก๊าซฯในครั้งนี้ แม้ว่าข้อมูลจากกระทรวงพลังงานที่ระบุว่า ราคาก๊าซฯที่ปรับเพิ่มขึ้นไป 1.20 บาทต่อกิโลกรัม หรือเทียบเท่าถังขนาดบรรจุ 15 กิโลกรัมที่นิยมใช้ในภาคครัวเรือนที่ปรับเพิ่มขึ้นจากถังละ 252 บาทเป็นถังละ 270 บาท เพิ่มขึ้นถังละ 18 บาท ทำให้ภาคครัวเรือนที่มีการใช้ก๊าซฯโดยเฉลี่ยถังละ 60 วัน ก็เท่ากับว่าต้นทุนเฉลี่ยจากการใช้ก๊าซฯเพิ่มขึ้นจะตกประมาณเดือนละ 9 บาท ซึ่งก็อาจจะดูว่าไม่มากนัก แต่ผลกระทบเชิงจิตวิทยาที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่ามีภาระรายจ่ายสูงขึ้นนั้นไม่เฉพาะแค่เพียงค่าก๊าซที่ต้องจ่ายเพิ่มเท่านั้น แต่ราคาวัตถุดิบที่ประกอบอาหารในบ้าน เช่น ข้าวสาร น้ำมันพืช ผัก พริก กระเทียม เครื่องปรุงรสอาหารต่างๆ ฯลฯ ก็มีแนวโน้มที่จะมีการปรับราคาแพงขึ้นไปจากปัจจุบันอีก นอกจากนี้ ราคาอาหารการกินนอกบ้านก็จะแพงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น ภาระรายจ่ายรวมที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เพียงแค่ต้นทุนทางตรงจากราคาก๊าซฯเท่านั้น แต่ยังมีรายจ่ายทางอ้อมที่ตามมาอีกมากดังกล่าวด้วย

3.บริการรถแท๊กซี่จะมีการปรับราคาค่าบริการขึ้นไปอีก ทั้งนี้ ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานระบุว่า ราคาก๊าซฯที่ใช้ในรถยนต์จะเพิ่มขึ้นลิตรละ 0.65 บาท จากการปรับราคาในวันที่ 1 ธันวาคม ศกนี้ ซึ่งก็จะทำให้ค่าบริการรถแท๊กซี่ต้องปรับราคาขึ้นไปบ้าง เพราะต้นทุนของแท๊กซี่จะเพิ่มขึ้นราว 50-70 บาทต่อวัน

4.ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะสินค้าในหมวดอาหารมีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้นตามราคาก๊าซฯที่ปรับเพิ่มขึ้น แม้ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ที่ประเมินว่า ผลกระทบจากการขึ้นราคาก๊าซฯในครั้งนี้ จะกระทบให้ราคาข้าวแกงแพงขึ้นไม่เกินจานละ 30 สตางค์ แต่ในทางความจริงนั้น พ่อค้า-แม่ค้า ก็จะไม่ปรับราคาที่เป็นเศษสตางค์ แต่จะปรับราคาขึ้นไปมากกว่าต้นทุนราคาก๊าซฯที่เพิ่มขึ้นจริง เช่น อาจจะขึ้นราคาไปอีกจานละ 2-5 บาท เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องจับตาราคาสินค้าต่างๆ และค่าขนส่งที่ได้มีการชะลอการปรับราคาจากการขอความร่วมมือของกระทรวงพาณิชย์ และกรมการขนส่งทางบกในช่วงที่มีการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลก่อนหน้านี้ที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าจะมีการปรับราคาขึ้นไปภายในเดือนมกราคม 2551 และในระยะต่อๆไป

5.เกิดภาวะเงินเฟ้อจากราคาสินค้าที่แพงขึ้น ทั้งนี้ แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะระบุว่า ผลของการปรับราคาก๊าซฯในวันที่ 1 ธันวาคม 2550 นี้ ราคาก๊าซฯมีน้ำหนักในตะกร้าสินค้าที่คำนวณเงินเฟ้อน้อยมากเพียงไม่ถึงร้อยละ 1 แต่ถ้าหากผู้ประกอบการที่มีแผนการปรับราคาสินค้าและบริการที่ได้มีการขออนุมัติกระทรวงพาณิชย์ไปก่อนหน้านี้ หากมีการทยอยปรับขึ้นราคาตั้งแต่ต้นปี 2551 ก็มีความเป็นไปได้มากว่า ภาวะเงินเฟ้อในไตรมาสแรก 2551จะปรับตัวสูงขึ้นได้อีก ทั้งนี้ ยังต้องติดตามราคาน้ำมันในตลาดโลกเวลานั้นด้วยว่าจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นไปมากน้อยแค่ไหนอีกด้วย

บทสรุป

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่าการตัดสินใจของกระทรวงพลังงานที่ประกาศยกเลิกให้การชดเชยราคาก๊าซหุงต้มในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญ เพราะต้องการแก้ไขปัญหาในระยะยาวที่หากยังให้การชดเชยราคาก๊าซฯอยู่ต่อไป ภายใต้สถานการณ์น้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นก็จะยิ่งเป็นความเสี่ยงที่ทำให้ภาครัฐต้องมีภาระทางการเงิน-การคลังในระยะต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่อย่างไรก็ตาม หากมองในระยะสั้นๆ การตัดสินใจดังกล่าวก็ยังต้องเผชิญกับกระแสกดดันที่ภาคประชาชนอาจไม่เห็นด้วยกับช่วงจังหวะเวลาที่มีการตัดสินใจในครั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบัน เศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัว ราคาน้ำมันในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เป็นแรงกดดันต่อภาวะราคาสินค้าและบริการให้ทยอยปรับตัวสูงขึ้น และค่าครองชีพของประชาชนที่ปรับเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานยังควรที่จะต้องเร่งทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้มีความเข้าใจและคุ้นเคยว่า ในที่สุดแล้วก็จะต้องลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มไม่วันใดก็วันหนึ่ง รัฐบาลคงไม่สามารถรับภาระอีกต่อไปได้แล้ว โดยใช้กรณีตัวอย่างของการลอยตัวราคาน้ำมัน ที่มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจมาเป็นเวลานานหลายปี จนเป็นที่ยอมรับและเข้าใจ ดังจะเห็นได้ว่า การปรับราคาน้ำมันในประเทศตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมา ไม่มีแรงกดดันจากประชาชน แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับขึ้นไปทะลุลิตรละกว่า 30 บาทแล้วก็ตาม เพราะประชาชนเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่ต้องปรับราคาตามภาวะน้ำมันในตลาดโลก

สำหรับกระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานที่คอยดูแลความเคลื่อนไหวของราคาสินค้า ภายหลังการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2550 ก็จะต้องติดตามความเคลื่อนไหวราคาสินค้าว่ามีการขึ้นราคาสินค้าโดยอ้างเหตุผลของการขึ้นราคาก๊าซฯ อย่างสมเหตุสมผลหรือไม่ หากมีลักษณะที่ขึ้นราคาเอาเปรียบประชาชน ไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้าให้ชัดเจน กักตุนสินค้า กระทรวงพาณิชย์ก็จะต้องเร่งจัดการตามกฎหมาย และลงโทษสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนดโทษเอาไว้

ในส่วนของพ่อค้า-แม่ค้า ผู้ประกอบการธุรกิจ ก็จะต้องไม่ประกอบการค้าเอารัดเอาเปรียบประชาชน แต่ควรจะช่วยกันในภาวะค่าครองชีพที่บีบรัด ด้วยการขายสินค้าในราคาที่เป็นธรรม มีกำไรแต่พอควร ไม่ค้ากำไรจนเกินไปด้วยการผลักภาระทั้งหมดไปสู่ผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย เพราะต้นทุนราคาก๊าซฯในสินค้าทั่วไปมีสัดส่วนที่ต่ำ ดังนั้น การขึ้นราคาก็คงจะขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่มีเหตุผลที่พ่อค้า-แม่ค้า และผู้ประกอบการจะขึ้นราคาสินค้าในอัตราที่เท่า หรือมากกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาก๊าซฯที่ปรับขึ้นไปในครั้งนี้
หากทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันในการแก้ไขปัญหาตามภาระหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด ภายใต้ผลประโยชน์ร่วมกันของสังคมประเทศ ปัญหาที่ตามมาหลังจากที่มีการปรับราคาก๊าซหุงต้มขึ้นไปแล้วที่ดูเหมือนว่าจะเป็นปัญหนัก ก็จะสามารถทุเลาเบาบางลงได้ในที่สุด