ธนาคารทหารไทยประกาศผลประกอบการประจำปี 2550 โดยธนาคารและบริษัทในเครือแสดงผลกำไรจากการดำเนินงาน ก่อนการตั้งสำรองและรายการพิเศษ 9,648 ล้านบาท โดยมีการเติบโตของอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย เปิดเผยว่า ในงวดปี 2550 ธนาคารได้ปรับโครงสร้างงบการเงินและเพิ่มทุนเสร็จสมบูรณ์รวมทั้งมีกำไรจากการดำเนินงาน ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 จาก 15,141 ล้านบาท ในปี 2549 มาเป็น 16,442 ล้านบาท ในปี 2550 ในขณะที่อัตราส่วนต่างดอกเบี้ยรับสุทธิในปี 2550 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับร้อยละ 2.1 ในปี 2549 และรายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นเป็น 5,433 ล้านบาท ในปี 2550 เมื่อเทียบกับ 4,734 ล้านบาท ในปี 2549 อันเป็นผลเนื่องมาจากการเติบโตของค่าธรรมเนียมจากปริมาณธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาธุรกิจเพื่อรายย่อย และธุรกิจเกี่ยวกับประกันภัยและประกันชีวิต
ระดับความเพียงพอของเงินกองทุนของธนาคาร (CAR) ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 มีความเข้มแข็งขึ้น โดยอยู่ที่ร้อยละ 14.4 ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับธนาคารชั้นนำอื่นๆ โดยที่ธนาคารประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุนซึ่งมีกลุ่มไอเอ็นจีจากเนเธอร์แลนด์เข้ามาเป็นพันธมิตรรายใหม่ ภายหลังการเพิ่มทุน สัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังในธนาคารทหารไทยอยู่ที่ร้อยละ 26.1 และธนาคารไอเอ็นจี แห่งเนเธอร์แลนด์ ถือหุ้นร้อยละ 25.2
ธนาคารมีความก้าวหน้าในการจำหน่ายทรัพย์สินรอการขาย (NPA) โดยมูลค่าของทรัพย์สินรอการขายของธนาคารลดลงประมาณร้อยละ 25 เป็น 22,571 ล้านบาท ในปี 2550 จากเดิม 29,812 ล้านบาท ในปี 2549 นอกจากนี้ ธนาคารยังมีแผนการที่จะเร่งรัดโครงการจำหน่ายทรัพย์สินดังกล่าว และได้ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเป็น 4,453 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 16.5 ของมูลค่าทางบัญชีของทรัพย์สินรอการขายทั้งหมด ณ สิ้นปี 2550
สินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 เท่ากับ 72,415 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ 56,089 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2549 เนื่องจากมีการทบทวนการจัดชั้นสินเชื่อเชิงคุณภาพตามเกณฑ์ที่เข้มงวดของธนาคาร และการผิดนัดชำระหนี้อันเป็นผลของสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่อำนวยในปี 2550
และจากการทบทวนคุณภาพสินเชื่อโดยรวมของธนาคารอย่างละเอียดรอบคอบ ธนาคารได้ตั้งสำรองหนี้สูญ (LLR) เพิ่มขึ้น ทำให้อัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 54 ณ สิ้นปี 2549 มาเป็นประมาณร้อยละ 70 ณ สิ้นปี 2550
นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ประเมินการด้อยค่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับเครื่องมือทางการเงินต่างๆที่ธนาคารมีอยู่ เช่น หลักทรัพย์ ตั๋วเงินบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย และตั๋วเงินบรรษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จึงตั้งสำรองสำหรับการด้อยค่าและประมาณการหนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเพิ่มขึ้นอีก 5,943 ล้านบาท ในปี 2550
แม้ว่าจะมีผลกำไรจากการดำเนินงาน แต่การตั้งสำรองหนี้สูญที่เพิ่มขึ้น การด้อยค่าของค่าความนิยมที่เกิดจากการรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทย ธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้งการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นสำหรับทรัพย์สินรอการขาย และการตั้งสำรองสำหรับการด้อยค่าและประมาณการหนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ธนาคารมีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 43,657 ล้านบาท ในปี 2550
นายสุภัค กล่าวว่า “ปี 2550 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของธนาคารทหารไทย โดยธนาคารมีพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ฐานเงินทุนที่เพิ่มขึ้น และการปรับโครงสร้างงบการเงิน ต่อไปนี้ ธนาคารจะมุ่งปรับปรุงการดำเนินธุรกิจให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นโดยเน้นที่ธุรกิจเพื่อรายย่อย ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ภายใต้มาตรฐานการบริหารความเสี่ยงที่เข้มข้น โดยการสนับสนุนจากธนาคารไอเอ็นจี ซึ่งเป็นพันธมิตรของเรา”
ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)
ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ และประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง โดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ วาณิชธนกิจและธุรกิจอื่นๆ เช่น การเป็นตัวแทนจำหน่ายประกัน
ธนาคารมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าประเภทต่างๆ ผ่านเครือข่ายสาขารวมทั้งสิ้น 469 สาขา สำนักงานแลกเปลี่ยนเงิน 110 แห่ง เครื่องเอทีเอ็มจำนวน 1,744 เครื่อง รวมทั้งให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่างๆ
ธนาคารทหารไทย เป็นธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีสินทรัพย์รวม 651,783 ล้านบาท (ณ วันที่ 30 กันยายน 2550) นับเป็นธนาคารที่มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเป็นอันดับหกในระบบธนาคารพาณิชย์ของไทย