บอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติให้เพิ่มอัตราการวางหลักประกันบัญชีซื้อขายเงินสดเป็นร้อยละ 15

นายสุทธิชัย จิตรวาณิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะเลขานุการ คณะกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยถึงมติคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการประชุมเมื่อวันที่27 กุมภาพันธ์ 2551ว่า คณะกรรมการ ได้มีมติให้เพิ่มอัตราการวางหลักประกันจากเดิมร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 15 ของวงเงินที่จะซื้อหลักทรัพย์ สำหรับบัญชีเงินสดของผู้ลงทุนบุคคลทั้งในและต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องการชำระราคา และสร้างความมั่นคงให้ระบบการซื้อขายมากขึ้น พร้อมทั้ง เพิ่มประเภททรัพย์สินที่สามารถนำมาวางเป็นหลักประกัน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2551 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาข้อเสนอของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ และเห็นด้วยที่จะให้ปรับอัตราการวางหลักประกันเป็นร้อยละ 15 ของวงเงินที่จะซื้อหลักทรัพย์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของระบบชำระราคาและอุตสาหกรรมโดยรวม

“สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ได้แจ้งผลการศึกษาในเรื่องการวางหลักประกันการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เห็นว่าการเพิ่มอัตราการวางหลักประกันสำหรับบัญชี เงินสดเป็นร้อยละ 15 ของวงเงินที่จะซื้อหลักทรัพย์ เป็นการป้องกันความเสี่ยงทางด้านการชำระราคาสำหรับ ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน และเป็นการเสริมสร้างเสถียรภาพของตลาดทุนโดยรวม” นายสุทธิชัยกล่าว

นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้อนุมัติให้เพิ่มหลักเกณฑ์ให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาประเภททรัพย์สินที่สามารถวางเป็นหลักประกันได้ เพื่อเปิดกว้างให้ลูกค้าสามารถนำทรัพย์สินมาวางหลักประกันเพิ่มเติมได้ โดยทรัพย์สินดังกล่าวต้องมีสภาพคล่องสูงและความเสี่ยงต่ำ เพื่อรองรับตราสารใหม่ ๆ ที่จะมีในอนาคต ซึ่งในปัจจุบันทรัพย์สินที่วางเป็นประกันตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มี 8 ประเภท ได้แก่ เงินสด หลักทรัพย์จดทะเบียน ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน บัตรเงินฝาก หนังสือคำประกัน ซึ่งไม่ครอบคลุมถึงตราสารในการลงทุนทั้งหมด เช่นหน่วยลงทุนในตราสารหนี้ เป็นต้น

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะจัดให้มีการประชุมร่วมกับสมาชิก และให้สมาชิกมีระยะเวลาสร้างความเข้าใจกับลูกค้าอย่างทั่วถึง ก่อนที่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2551 เป็นต้นไป