มิตรผลปรับโครงสร้างองค์กรรับการเติบโตธุรกิจน้ำตาล

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ กลุ่มมิตรผล กล่าวถึงสาเหตุของการปรับโครงสร้างผู้บริหารกลุ่มธุรกิจในเครือว่า “การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานของทุกธุรกิจของกลุ่มมิตรผล สืบเนื่องมาจากการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งกลุ่มมิตรผลในวันนี้ไม่เพียงแต่ดำเนินธุรกิจน้ำตาลเท่านั้น แต่เติบโตขึ้นและขยายธุรกิจสู่ธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ ธุรกิจพลังงาน ซึ่งมีทั้งไฟฟ้าชีวมวลและเอทานอล ธุรกิจปาติเกิล บอร์ด ธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์ เป็นต้น โดยในเชิงของธุรกิจองค์กร มิตรผลมุ่งเน้นที่จะพัฒนาตนเอง
ให้มีความแข็งแกร่ง พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอุตสาหกรรม ซึ่งการที่จะก้าวไปสู่การแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมั่นคงนั้น จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพ และได้ประสิทธิผลยิ่งขึ้นกว่าเดิม

โครงสร้างใหม่จะเป็นการแบ่งธุรกิจตามลักษณะการดำเนินงานอย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้การกำหนดนโยบายเฉพาะเรื่องที่มีความคล่องตัวมากขึ้น โดยกรรมการผู้จัดการใหญ่จะดูแลภาพรวมของทั้งกลุ่มมิตรผล และบริหารงานผ่านคณะกรรมการบริหาร ซึ่งประกอบด้วยกรรมการผู้จัดการทุกกลุ่มธุรกิจ รวมถึงดูแลเรื่องการเตรียมบุคลากรในการรองรับงานในอนาคต ส่วนกรรมการผู้จัดการของแต่ละกลุ่มธุรกิจก็จะมุ่งเน้นเรื่องการกำหนดกลยุทธ์และแนวทางการจัดการ รับผิดชอบต่อผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจ

“หลังจากวิกฤติค่าเงินบาทในปี 2540 กลุ่มมิตรผลเองก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ก็ได้แนวคิดในการพัฒนาคนของเราซึ่งได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังได้ปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานของโรงงานจนทำให้มีไฟฟ้าเหลือขายเข้าสู่ระบบของการไฟฟ้า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ธุรกิจพลังงาน รวมทั้งได้พัฒนาการทำงานให้มีมาตรฐานที่ดี และได้ให้ทริส (Thailand Rating and Information Services: TRIS) เข้ามาประเมิน ซึ่งก็ได้รับการจัดอันดับที่เอ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า จุดบกพร่องต่างๆ ได้ถูกปรับปรุงไปมากพอควร และคนของเราก็มีความพร้อมที่จะพัฒนาธุรกิจต่อไปได้” นายอิสระกล่าวและเพิ่มเติมอีกว่า

“เหตุผลหลักที่สำคัญนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ก็เพื่อให้มีความเหมาะสมกับการบริหารธุรกิจของกลุ่ม ซึ่งปัจจุบันได้มีการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้สามารถรองรับการเติบโตของกลุ่มได้ในอนาคต โดยให้แต่ละกลุ่มธุรกิจสามารถบริหารงานได้อย่างคล่องตัวและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมของกลุ่มผู้บริหารระดับสูง และสร้างความเป็นมืออาชีพ ให้สามารถรับผิดชอบในตำแหน่งสำคัญของแต่ละกลุ่มธุรกิจ เพื่อพร้อมที่จะรับมือต่อการแข่งขันรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและการแข่งขันในตลาดโลก กลุ่มมิตรผลจึงมีการเตรียมการในเรื่องนี้ไว้ โดยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อสรรหาผู้บริหารที่พร้อมด้วยความรู้ความสามารถมาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ และเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เพื่อเป็นการแบ่งบทบาทหน้าที่ของผู้ถือหุ้น คณะกรรมการบริหาร และผู้บริหารมืออาชีพในแบบของธรรมาภิบาล”

นายกฤษฎา มนเทียรวิเชียรฉาย กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า “ในการนำพากลุ่มมิตรผลก้าวสู่เวทีการแข่งขันในตลาดโลกนั้น เราจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำทั้งของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องเร่งพัฒนาตนเองให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งนี้โดยจะกระจายอำนาจไปยังกลุ่มธุรกิจต่างๆ อย่างชัดเจนมากขึ้น”

แนวทางการพัฒนาของกลุ่มมิตรผล อันดับแรกที่ยังคงให้ความสำคัญ คือ ธุรกิจน้ำตาล ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่ม โดยในปีนี้คาดว่าจะมีอ้อยเข้าหีบไม่ต่ำกว่า 13.3 ล้านตันอ้อย ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และคาดว่าจะมีปริมาณน้ำตาลไม่ต่ำกว่า 1.4 ล้านตัน รวมถึงการขยายธุรกิจเข้าไปในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะเป็นฐานการผลิตใหม่ของกลุ่ม โดยธุรกิจน้ำตาลจะเป็นธุรกิจที่นำพาธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจพลังงานทั้งไฟฟ้าและเอทานอลให้ขยายตัวในแนวระนาบตามไปด้วย

สำหรับธุรกิจพลังงานในประเทศก็ยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจไฟฟ้าจะเข้าสู่โครงการพลังงานสะอาดในการขายคาร์บอนเครดิตอย่างเต็มตัว ขณะที่เอทานอลก็ได้เริ่มเดินเครื่องโรงงานแห่งที่ 2 ที่กาฬสินธุ์อย่างเป็นทางการเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทำให้มิตรผลสามารถผลิตเอทานอลออกสู่ตลาดได้ถึง 400,000 ลิตรต่อวัน ส่วนธุรกิจในประเทศจีนทั้งน้ำตาลและการผลิตเยื่อกระดาษก็ได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างดียิ่ง ปัจจุบันกลุ่มมิตรผลมีโรงงานน้ำตาลในประเทศจีนรวม 5 แห่ง สามารถขยายกำลังการผลิตเป็นวันละ 71,000 ตันอ้อย หีบอ้อยได้ปีละกว่า 10,000,000 ตัน และผลิตน้ำตาลทรายบริสุทธิ์ได้ปีละ 1,100,000 ตัน/ปี ส่วนการผลิตกระดาษและเยื่อกระดาษ สามารถผลิตกระดาษได้ 60,000 ตัน/ปี และผลิตเยื่อกระดาษได้ 50,000 ตัน/ปี

“ภายใต้การดำเนินงานของทีมผู้บริหารชุดใหม่นี้ เรายังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบ เพื่อให้องค์กรแข็งแกร่งรอบด้าน เพราะเราเชื่อมั่นว่า บุคลากรชั้นนำจะสร้างสรรค์องค์กรชั้นเลิศ ซึ่งมิตรผลมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาบุคลากรทุกระดับให้มีความเป็นเลิศ โดยพวกเขาจะได้รับการฝึกอบรม และพัฒนาความรู้ความสามารถให้เติบโตไปพร้อมกับองค์กร” นายกฤษฎา กล่าว