ราคาเหล็กและทองแดงที่ผันผวน กระทบต้นทุนอุตสาหกรรมก่อสร้าง ยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า

ปัญหาราคาสินค้าต่างๆที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ เป็นปัญหาที่หลายฝ่ายกำลังวิตก นอกจากผู้บริโภคจะเผชิญกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้น ในด้านผู้ประกอบการธุรกิจก็ต้องเผชิญกับต้นทุนปัจจัยการผลิตต่างๆที่ปรับตัวสูงขึ้นพร้อมกันอย่างกว้างขวาง ราคาโลหะพื้นฐานเช่นเหล็กและทองแดงซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตในหลายๆอุตสาหกรรมก็เช่นเดียวกัน การที่ประเทศไทยต้องพึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบขั้นต้นเหล่านี้ ทำให้ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นได้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุของราคาโลหะพื้นฐานที่สูงขึ้น รวมถึงแนวโน้มสถานการณ์ราคาในอนาคต ปัจจัยอื่นๆที่มีผลต่อราคาซึ่งต้องให้ความสนใจ และผลกระทบต่อธุรกิจที่สำคัญของไทยและแนวทางปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวให้น้อยที่สุด โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

สถานการณ์ปัจจุบันของราคาโลหะพื้นฐานที่สำคัญ

โลหะพื้นฐานที่มีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในโลก 5 อันดับแรก คือ เหล็ก อลูมิเนียม ทองแดง สังกะสี และตะกั่ว ซึ่งปัจจุบันพบว่าราคาของแร่เหล่านี้ส่วนใหญ่มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 4 ถึง 5 ปีที่ผ่านมา โดยราคาเหล็ก และทองแดงมีอัตราการขยายตัวสูง ซึ่งราคาผลิตภัณฑ์เหล็กโดยเฉลี่ยในเดือนที่ผ่านมาพุ่งขึ้นไปสูงถึง 970 ดอลลาร์ฯต่อตัน ส่วนราคาทองแดงเองก็ทำสถิติสูงสุดที่ 8,884.50 ดอลลาร์ฯต่อตัน ไปเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2551 จากอัตราการขยายตัวของราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในขณะนี้กำลังส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่ออุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาโลหะเหล่านี้เป็นวัตถุดิบ

สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาโลหะพื้นฐานในระยะนี้ปรับตัวสูงขึ้น

ความต้องการบริโภคที่สูงขึ้นมากในประเทศที่กำลังพัฒนาและมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง เช่น จีนและอินเดีย ทำให้มีการขยายตัวของการบริโภคในอุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีการใช้โลหะพื้นฐานเหล่านี้เป็นวัตถุดิบสูง

ปัญหาการขาดแคลนพลังงานเชื้อเพลิงในการผลิต โดยเฉพาะการขาดแคลนถ่านหินซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการถลุงแร่และในการผลิตกระแสไฟฟ้า เนื่องจากเกิดภัยพิบัติในบางประเทศผู้ผลิต ทำให้โรงงานถลุงแร่หลายแห่งต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว ทำให้ปริมาณโลหะที่เข้าสู่ตลาดลดน้อยลง

ราคาเชื้อเพลิงที่ขยับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้นมากซึ่งส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตและการขนส่ง ส่วนราคาถ่านหินซึ่งเป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักในการถลุงแร่เองก็เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตสูงขึ้นมาก ซึ่งก็จะส่งผลต่อมาที่ราคาโลหะที่เพิ่มสูงขึ้น

มาตรการของทางการจีนในการควบคุมปริมาณการส่งออก เนื่องจากจีนเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคโลหะเกือบทุกตัวในลำดับต้นๆของโลก แม้จะสามารถผลิตได้มากแต่ก็ยังไม่พอต่อการบริโภคภายในประเทศ อีกทั้งเพื่อลดความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างประเทศ ที่จีนมีการเกินดุลการค้ากับประเทศอื่นๆเป็นระดับสูง ทำให้ประเทศเศรษฐกิจชั้นนำหลายประเทศเรียกร้องให้จีนยืดหยุ่นระบบอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งถูกมองว่าสร้างความได้เปรียบทางการค้าให้กับจีนอย่างไม่เป็นธรรม ทางการจีนจึงได้มีนโยบายจำกัดการส่งออก นอกจากนี้ยังมีการลดกำลังการผลิตของโรงงานที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลงเพื่อควบคุมมลพิษและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทำให้มีการเก็บภาษีส่งออกผลิตภัณฑ์โลหะหลายประเภท และทยอยลดอัตราการคืนเงินภาษีวัตถุดิบ (Tax Rebate) ที่ใช้ในการผลิตเหล็กส่งออกหลายรายการลง ทำให้ปริมาณโลหะที่ซื้อขายในตลาดลดลง

ปัญหาอื่นๆภายในประเทศผู้ผลิต ต้นปีที่ผ่านมาจีนประสบกับพายุหิมะครั้งรุนแรงทำให้โรงงานผลิตหลายแห่งต้องหยุดดำเนินการชั่วคราวในช่วงดังกล่าว รวมถึงปัญหาการประท้วงของคนงานในชิลีซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตทองแดงขนาดใหญ่ที่สุดของโลกบ่อยครั้ง เป็นต้น ทำให้ราคาโลหะต่างๆมีความผันผวน และล่าสุดคาดว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในจีนอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานโลหะของจีน ในขณะที่อุปสงค์ต่อโลหะโดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการใช้เหล็กในการก่อสร้างเพื่อฟื้นฟูอาคารและสาธารณูปโภคที่เสียหายน่าจะเพิ่มสูงขึ้น

การกักตุนสินค้าทั้งทางฝั่งผู้ผลิตโลหะ และบริษัทที่ซื้อโลหะเพื่อนำไปใช้เป็นปัจจัยการผลิตในขั้นต่อๆไป เนื่องจากมีความกังวลว่าจะเกิดการขาดแคลนสินค้าที่จะใช้ในการผลิตและขาย ส่งผลให้ปริมาณโลหะที่ซื้อขายกันในตลาดยิ่งลดลง ผลักดันราคาให้สูงขึ้น

แนวโน้มราคาเหล็กและทองแดงในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ต่อเนื่องถึงปีหน้า

เหล็ก
แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปในปัจจุบันจะซบเซา แต่การบริโภคเหล็กจะยังคงมีมากจากแนวโน้มการบริโภคที่สูงขึ้นในปีนี้ถึงร้อยละ 6.7 ซึ่งมาจากปริมาณความต้องการที่มากขึ้นของทั้ง จีน อินเดีย รัสเซีย บราซิล และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ นอกจากนี้จากภาวะขาดแคลนถ่านหิน และราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและต้นทุนการขนส่งสูงขึ้น ผลักดันให้ราคาเหล็กในปี 2551 นี้ไม่มีทีท่าที่จะลดลง ประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ส่งออกหลักเองก็มีการชะลอการส่งออก และผลิตน้อยลงส่งผลให้อุปทานของเหล็กในตลาดโลกชะลอตัวลงโดยคาดว่าในปี 2551 ปริมาณการผลิตเหล็กของโลกจะมีการขยายตัวเพียงร้อยละ 5.6 ส่วนในปี 2552 แนวโน้มความต้องการบริโภคคาดว่าจะสูงขึ้นอีกร้อยละ 6.3 แต่ทั้งนี้มีการวิเคราะห์ว่าอุปทานเหล็กในตลาดน่าจะเริ่มมีมากขึ้นในปี 2552 จากที่ผู้ผลิตหลายรายเริ่มวางแผนการผลิตให้ทันตามความต้องการของจีน ส่งผลให้ระดับราคาหลังจากปี 2552 ไปน่าจะลดลงเนื่องจากอุปทานเริ่มตามทันอุปสงค์ แต่จะเป็นการปรับลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ทองแดง
จากความต้องการทองแดงที่เพิ่มขึ้นมากในปี 2550 โดยเฉพาะจากจีน ทำให้ในปี 2551 นี้มีโอกาสที่จะมีปริมาณทองแดงสำรองลดลงมากเหลือแค่ 85,000 ตัน หรือประมาณร้อยละ 0.5 ของปริมาณความต้องการใช้เฉลี่ยในแต่ละปี ส่งผลให้ราคาทองแดงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี อย่างไรก็ตามคาดว่าการใช้ทองแดงในประเทศจีนและสหรัฐฯซึ่งเป็นผู้บริโภคหลักอาจชะลอลงในระยะเวลาที่เหลือของปี นอกจากนี้คาดว่าในปี 2552 ผลผลิตทองแดงมีแนวโน้มสูงขึ้นกว่าปีนี้ถึงร้อยละ 7 จากการที่หลายประเทศผู้ผลิตมีการวางแผนเพิ่มการผลิตเพื่อชดเชยกับปริมาณสินค้าคงคลังที่ลดลงมากในปีก่อนๆ ในขณะที่ความต้องการบริโภคคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปี 2551 ร้อยละ 5.2 ทำให้ในปี 2552 ปริมาณสินค้าคงคลังมีโอกาสจะเพิ่มสูงขึ้นมาก แนวโน้มราคาทองแดงในปี 2552 จึงมีโอกาสจะปรับลดลงได้ ทว่าแนวโน้มราคาก็อาจมีปัจจัยสนับสนุนให้กลับมาปรับสูงขึ้นอีกได้ ถ้าหากมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯซึ่งจะทำให้ความต้องการกลับมาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การเกิดปัญหาการประท้วงของคนงานในประเทศชิลีซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่บ่อยครั้งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ปริมาณผลผลิตไม่คงที่ รวมถึงแนวโน้มปัญหาด้านราคาพลังงานเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นในระยะยาว เหล่านี้เป็นตัวแปรสำคัญที่จะส่งผลต่อราคาทองแดงในอนาคต

ปัจจัยอื่นๆที่มีผลต่อราคาซึ่งต้องให้ความสนใจ

• ปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณการบริโภคโลหะพื้นฐานลดลง ที่แม้จะไม่ส่งผลอย่างรุนแรงต่อราคา เนื่องจากยังมีปัจจัยหลักอื่นที่มีผลต่อความผันผวนของราคาโลหะ คือ ปริมาณการบริโภคจากประเทศจีน และประเทศกำลังพัฒนาที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากสหรัฐฯเองก็เป็นหนึ่งในผู้บริโภคหลัก ดังนั้นหากเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มมีการปรับตัวดีขึ้นแล้ว ราคาโลหะพื้นฐานก็มีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์ฯที่อ่อนตัวลงมาก ทำให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มากขึ้น โดยเฉพาะโลหะซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ขึ้นกับฤดูกาลและเก็บรักษาได้นาน หากค่าเงินดอลลาร์ฯแข็งค่ามากขึ้นก็อาจมีแนวโน้มที่คนจะเริ่มกลับไปเก็งกำไรในตลาดการเงินมากอีกครั้ง ราคาก็จะสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น

การขยายตัวของเศษฐกิจของจีน เป็นปัจจัยที่บ่งชี้ทิศทางของราคาโลหะพื้นฐานได้เป็นอย่างดี เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่มาก และกำลังพัฒนาส่งผลให้อุตสาหกรรมต่างๆซึ่งมักพึ่งพิงโลหะพื้นฐานเป็นหลักมีโอกาสขยายตัวไปได้อีกมาก เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมรถยนต์ และอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีต่างๆ นอกจากนี้เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีขนาดพื้นที่กว้างใหญ่จึงมีสินแร่โลหะหลายชนิดอยู่เป็นจำนวนมาก จีนจึงเป็นผู้ผลิตหลักในหลายๆโลหะดังนั้นมาตรการของรัฐที่เกี่ยวข้องที่ออกมาจึงมีผลอย่างมากกับปริมาณและระดับราคาของโลหะต่างๆในตลาดโลก

ผลกระทบต่อธุรกิจที่สำคัญของไทยและแนวทางปรับตัว

จากที่กล่าวมาเบื้องต้น ราคาเหล็กและทองแดงมีปัจจัยหนุนที่อาจจะทำให้มีแนวโน้มที่ผันผวนอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยจนถึงปีหน้า ซึ่งย่อมจะส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมไทยในวงกว้าง โดยในส่วนของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากจากการที่ราคาเหล็กและทองแดงมีความผันผวนมีดังต่อไปนี้

อุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้เหล็กสูงมากอุตสาหกรรมหนึ่ง โดยการผลิตรถยนต์โดยทั่วไปจะใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบในการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 700–900 กิโลกรัมต่อคัน อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่ออกสู่ตลาดในช่วงปีนี้ยังไม่ปรับราคาขึ้นเนื่องจากได้เน้นทำตลาดรถยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชนิด E20 ซึ่งได้รับการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตลง หากทิศทางราคาเหล็กยังจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามราคาน้ำมันอาจส่งผลให้ผู้ประกอบการรถยนต์ปรับขึ้นราคาในอนาคต ซึ่งการจะปรับขึ้นราคาได้จำเป็นต้องดูปัจจัยอื่นประกอบ เช่น สภาวะตลาดและการแข่งขัน แนวทางหนึ่งในการคงราคาไว้ คือการตัดลดอุปกรณ์เสริม options หรือบริการต่างๆออกจากราคามาตรฐาน นอกจากนี้ในระยะยาวหากมีการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศทำให้คุณภาพของเหล็กที่ผลิตในประเทศสูงขึ้นก็จะช่วยในการลดต้นทุนเหล็กนำเข้าได้ การคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์เช่น ออกแบบหรือใช้วัสดุเพื่อลดต้นทุนการผลิตรวมถึงลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงของรถ แต่ยังคงรักษาคุณภาพและมาตรฐานด้านความปลอดภัยไว้ก็อาจเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดภาระต้นทุนโลหะได้

อุตสาหกรรมก่อสร้าง มีการใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบมาก หากราคามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นย่อมส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจากดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเดือนเมษายน ปี 2551 พบว่าดัชนีราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้วสูงขึ้นร้อยละ 44.4 และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าพบว่าสูงขึ้นในอัตราร้อยละ 4.1 โดยรวมแล้วในช่วง 4 เดือนแรกของปีดัชนีมีการปรับสูงขึ้นร้อยละ 38.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงขึ้นมากสำหรับผู้ประกอบการ โดยโครงการก่อสร้างต่างๆที่มีการทำสัญญาล่วงหน้า ทั้งงานก่อสร้างภาคเอกชนและภาครัฐ น่าจะได้รับผลกระทบมากเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากราคาวัตถุดิบหลายชนิดในช่วงการทำสัญญายังไม่สูงเท่านี้ แนวทางปรับตัวอาจใช้วิธีเจรจากันระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมาในการช่วยกันรับภาระต้นทุน ซึ่งในส่วนของโครงการของรัฐนั้น ภาครัฐอาจจะเข้ามามีส่วนช่วยเหลือในการกำหนดราคาในสัญญาใหม่ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น หรือปรับสูตรค่าชดเชยต้นทุนก่อสร้างที่สูงขึ้น หรือค่า K ให้มีความยืดหยุ่นกว่าเดิม ในส่วนผู้ประกอบการเองควรหาวิธีลดความเสี่ยง เช่น การซื้อขายวัตถุดิบบางอย่างล่วงหน้า การขอต่อรองลูกค้าในการทำสัญญาให้สามารถปรับราคาค่าก่อสร้าง ในส่วนของราคาวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าในช่วงที่ทำสัญญาไว้มาก หรือให้ลูกค้าเป็นผู้จัดหาวัสดุก่อสร้างเอง เป็นต้น ในส่วนของภาครัฐก็ได้รับผลกระทบในเรื่องต้นทุนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หรือ เมกะโปรเจกต์ เช่น โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ที่หน่วยงานรัฐจะต้องหาแหล่งเงินเพิ่มเติมมาสนับสนุนวงเงินก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นประเด็นทางการคลังที่อาจมีผลต่อแผนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ

อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีทองแดงบริสุทธิ์เป็นวัตถุดิบสำคัญอาจประสบปัญหาต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นจากราคาทองแดงที่เพิ่มขึ้นในขณะนี้ และมีโอกาสผันผวนต่อไปในอนาคต ประกอบกับการปรับขึ้นราคาสินค้าทำได้ลำบาก เพราะจะไม่สามารถแข่งขันกับเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาถูกจากจีนได้ ภาระต้นทุนจึงตกอยู่ที่ผู้ผลิตสินค้าและชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า หนทางแก้ปัญหาทางหนึ่งที่อาจทำได้คือการปรับไปใช้วัตถุดิบทดแทนที่มีราคาถูกลงแต่มีคุณภาพใกล้เคียง เช่น อลูมิเนียม ที่อาจนำไปใช้ทดแทนเหล็กหรือทองแดงได้ในบางกรณี การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้สามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง การลดต้นทุนวัสดุในส่วนอื่นๆ เช่น โครงวัสดุภายนอกที่ทำจากพลาสติก และการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพดีขึ้นและรูปแบบการใช้งานที่ทันสมัย เพื่อสร้างจุดขายในด้านคุณภาพและรูปแบบสินค้าแทนราคา รวมไปถึงการแบ่งตลาดออกเป็นกลุ่มๆ เช่น ตลาดราคาสูงคุณภาพดี และตลาดราคาถูกคุณภาพพอใช้ได้ โดยขายภายใต้ยี่ห้อที่ต่างกัน เพื่อจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่กว้างมากขึ้น เป็นต้น ภาครัฐเองอาจเข้ามามีส่วนช่วยโดยการร่วมพัฒนาความสามารถในการผลิตทองแดงบริสุทธิ์ในประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทไทยขนาดใหญ่เพียงบริษัทเดียวที่ทำธุรกิจประเภทนี้ ทั้งนี้เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งต้องรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย