สหการประมูลชี้พิษน้ำมันแพงกระทบผลประกอบการไตรมาส 2 ความต้องการซื้อรถยนต์มือสองต่างจังหวัดลดลง 50% เผยเครื่องยนต์เบนซินขาดตลาด ลูกค้าโวยเชียงกงปั่นราคาขายเกินจริง วอนรัฐควบคุมราคาและนำเข้าป้อนตลาดมือสองใช้พลังงานทดแทน
นางสาวเสาวลักษณ์ ชัยเดชสุริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด เปิดเผยถึงผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้กระทบต่อยอดขายรถยนต์มือสองในต่างจังหวัดอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ความต้องการซื้อรถกระบะลดลงถึง 50% จากเดิมที่การประมูลสัญจรในจังหวัดต่าง ๆ นั้นได้รับความสนใจจากลูกค้า ทั้งผู้ใช้รถยนต์ทั่วไปและผู้ประกอบการรถยนต์มือสองเป็นอย่างดี แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาลูกค้าส่วนใหญ่ได้ชะลอการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากไม่มั่นใจเศรษฐกิจโดยเฉพาะราคาน้ำมัน ในขณะที่ลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการรถยนต์มือสองซึ่งก่อนหน้านี้ได้สนใจประมูลซื้อรถยนต์มือสองประเภทกระบะ เนื่องจากอยู่ในความต้องการของลูกค้า แต่ปัจจุบันลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุน เพราะรถยนต์กระบะนั้นขายไม่ได้ราคาและขายยากขึ้น
“จากการเก็บข้อมูลจากลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่ระบุว่า สาเหตุที่ไม่ต้องการซื้อรถกระบะในขณะนี้ เพราะน้ำมันแพงและไม่สามารถดัดแปลงเครื่องยนต์เป็นเบนซินได้เนื่องจากขาดตลาด ในขณะที่ตลาดเครื่องยนต์เบนซินมือสองนั้นได้ปรับราคาขายแพงขึ้นถึง 60,000 บาท หากรวมค่าติดตั้งแล้วเจ้าของรถต้องจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 80,000 บาท จึงทำให้ผู้ใช้รถยนต์ดังกล่าวไม่สามารถดัดแปลงมาใช้พลังงานทดแทนได้” นางสาวเสาวลักษณ์กล่าว และให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า อยากให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือประชาชน เช่น การควบคุมเครื่องยนต์มือสองมิให้ขายแพงเกินจริง และนำเข้าเครื่องยนต์เบนซินมือสองป้อนให้กับผู้ใช้รถยนต์กระบะที่มีมากกว่า 1 ล้านคัน เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทนต่อไป
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้พยายามเจรจากับเจ้าของรถยนต์ที่ต้องการประมูลขาย ทั้งรถบ้านและรถจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เพื่อกำหนดราคาขายให้เป็นไปตามกลไกลของตลาด เช่น อาจต้องปรับลดราคาขายลง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคต่อไป