ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังไทยในปี 2551 นี้ ยังต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวโดยเฉพาะตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องหนังหลักทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ทั่วโลกส่วนใหญ่มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปีก่อน รวมทั้งการลดลงของปริมาณการค้าโลกด้วย จึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจเครื่องหนังของไทยที่พึ่งพิงตลาดส่งออกเป็นหลัก นอกจากนั้น ปัญหาเงินเฟ้อจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคในตลาดโลก ก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนทำให้เกิดการลดลงของอำนาจซื้อสินค้ามีราคาแพงขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ธุรกิจเครื่องหนังไทยต้องเผชิญกับภาวะหดตัวของตลาดในประเทศในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการชะลอตัวของทั้งปริมาณการผลิต การนำเข้า และการส่งออกของผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง นอกจากนั้น ผู้ผลิตยังต้องเผชิญกับสภาวะต้นทุนแรงงานและวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากปีก่อนทำให้ราคาสินค้าไทยแพงกว่าคู่แข่งและยังทำให้การรับรู้รายได้จากการส่งออกในรูปเงินสกุลบาทลดน้อยลง จึงมีแนวโน้มว่าธุรกิจเครื่องหนังในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะมีการชะลอตัวลงจากปีก่อน
จากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลกประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นทำให้ปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องหนังไทยโดยรวมมีแนวโน้มชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และผู้ผลิตยังต้องเผชิญกับสภาวะต้นทุนแรงงานและราคาวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้นมาโดยตลอดทำให้ผู้ผลิตรายย่อยไม่สามารถแบกภาระต้นทุนที่ปรับสูงขึ้นได้จำต้องปิดกิจการไป ส่วนบริษัทต่างประเทศที่เปิดโรงงานผลิตเครื่องหนังในไทยจำต้องย้ายโรงงานไปยังประเทศที่มีต้นทุนแรงงานถูกกว่าไทย อาทิ เวียดนาม และจีน นอกจากนั้น ในปีที่ผ่านมาปริมาณการส่งออกในเกือบทุกผลิตภัณฑ์เครื่องหนังได้ลดลงจากปีก่อน ในขณะที่ปริมาณการนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังยังคงเติบโตอยู่ในเกณฑ์ดี จึงเป็นเหตุให้ผลผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องหนังไทยในปีนี้ยังคงมีแนวโน้มลดลง เห็นได้จากการนำเข้าวัตถุดิบหนังดิบและหนังฟอกรวมกันในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2550 มีมูลค่านำเข้ารวมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 27.0 แต่ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2551 นี้มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 12.1 หนังดิบมีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.6 ส่วนหนังฟอกมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 ตามการชะลอตัวของตลาดในประเทศและตลาดส่งออกทั่วโลก มูลค่าการนำเข้าหนังดิบและหนังฟอกของไทยมีรายละเอียดตามแผนภาพต่อไปนี้
ด้านการส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องหนังไทยที่มีการส่งออกเป็นมูลค่ามาก ได้แก่ รองเท้าที่ทำจากหนัง เครื่องหนังสำหรับเดินทางและกระเป๋าหนัง และเครื่องแต่งกายทำจากหนัง เป็นต้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องหนังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในปีนี้การส่งออกได้มีการชะลอตัวลงสาเหตุจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะประเทศส่งออกหลักของไทย อาทิ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น รายละเอียดการส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องหนังหลักของไทยปรากฎอยู่ในตารางต่อไปนี้
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในไตรมาส 1 ปี 2551 มีการเติบโตที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องหนังรายใหญ่ของไทยไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น เศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่ชะลอตัวลงทุกตลาด สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเศรษฐกิจประสบปัญหาในภาคการเงินจากการตึงตัวของตลาดสินเชื่อ และยังต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อจากการปรับสูงขึ้นของราคาพลังงานและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในตลาดโลก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน จึงทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องหนังของไทยในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2551 มีการเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงเหลือเพียงร้อยละ 2.7 เป็นมูลค่า 288.77 ล้านเหรียญสหรัฐ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่การส่งออกมีอัตราเติบโตร้อยละ 6.8 มูลค่าส่งออกรองเท้าที่ทำจากหนังมีการเติบโตเพียงเล็กน้อยในอัตราร้อยละ 0.7 เครื่องหนังสำหรับเดินทางและกระเป๋าหนังมีอัตราเติบโตร้อยละ 3.8 และเครื่องแต่งกายที่ทำจากหนังการส่งออกมีการเติบโตดีกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอัตราร้อยละ 15.4 สำหรับสถานการณ์เครื่องหนังในตลาดโลกประเทศคู่แข่งในการส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องหนังของไทย อาทิ จีนที่เป็นทั้งผู้ผลิตและส่งออกเครื่องหนังรายใหญ่ของโลก มูลค่าผลผลิตเครื่องหนังรวมในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2551 ยังเติบโตในอัตราร้อยละ 19.9 คิดเป็นมูลค่า 21.6 พันล้านหยวน เติบโตลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย การนำเข้าและส่งออกเครื่องหนังจีนยังเติบโตได้ดีโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กระเป๋าเดินทางและกระเป๋าหนัง ในขณะที่สหภาพยุโรปคาดว่าจะมีการขยายเวลาการใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดการนำเข้าสินค้ารองเท้าหนังจากจีนและเวียดนาม ส่งผลให้ในปี 2550 ที่ผ่านมาสหภาพยุโรปนำเข้ารองเท้าจากจีนและเวียดนามลดลงถึงร้อยละ 17.6 และ 9.7 ตามลำดับ ซึ่งน่าจะช่วยให้ไทยมีศักยภาพในการส่งออกรองเท้าหนังไปยังสหภาพยุโรปมากขึ้น นอกจากนั้น สหภาพยุโรปยังได้มีการเตรียมการที่จะออกมาตรการกีดกันสินค้าร้องเท้าหนังที่นำเข้าจากเอเชีย เพื่อป้องกันปริมาณการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยผ่านมาตรการภาษีและการกำหนดโควต้านำเข้าสินค้ารองเท้าหนังจากเอเชียคาดว่าจะมีกำหนดเวลาในห้าปีข้างหน้า คาดว่ามาตรการนี้จะจำกัดจำนวนสินค้ารองเท้าหนังนำเข้าจากจีนและเวียดนามไม่เกิน 140 ล้านคู่ และ 90 ล้านคู่ ตามลำดับ จำนวนสินค้านำเข้าที่เกินกว่านี้จีนและเวียดนามจะต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราร้อยละ 23.0 และ 29.5 ตามลำดับ ซึ่งมาตรการนี้น่าจะลดศักยภาพในการแข่งขันของจีนและเวียดนามในสินค้ารองเท้าลงได้บ้าง ส่วนด้านตลาดนำเข้าเครื่องหนังรายใหญ่ของโลก อาทิ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังลดลง ส่งผลให้การส่งออกเครื่องหนังของไทยโดยรวมลดลงตาม นอกจากนั้น ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องหนังไทยยังต้องเผชิญกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลทำให้ราคาสินค้าจากไทยไม่สามารถแข่งขันได้และยังทำให้การรับรู้รายได้ในรูปเงินบาทลดน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน
ส่วนตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องหนังในประเทศไทยเผชิญกับภาวะชะลอตัวลงจากปีก่อน โดยในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2551 ดัชนีผลผลิตเครื่องหนังโดยรวมมีอัตราลดลงจากปีก่อนอย่างมาก ในขณะที่การนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังหลักก็ยังคงชะลอตัวลงจากปีก่อนทั้งปริมาณและมูลค่า ถึงแม้จะได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ตาม รายละเอียดผลิตภัณฑ์เครื่องหนังนำเข้าหลักของไทยปรากฎอยู่ในตารางต่อไปนี้
ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2551 มูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังหลักของไทยรวมกัน 70.28 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน แต่ชะลอตัวลงจาก 4 เดือนแรกของปีก่อนที่มูลค่าการนำเข้ามีอัตราการขยายตัวถึงร้อยละ 39.0 โดยที่เครื่องหนังสำหรับเดินทางและกระเป๋าหนังซึ่งมีมูลค่าการนำเข้ามากที่สุดและมีการขยายตัวมากที่สุดถึงร้อยละ 35.5 เท่ากับปีก่อน รองลงมาได้แก่ รองเท้าที่ทำจากหนังมีมูลค่านำเข้าขยายตัวร้อยละ 11.8 ลดลงจากปีก่อนที่มีอัตราการขยายตัวถึงร้อยละ 38.0 ส่วนเครื่องแต่งกายที่ทำจากหนังมีมูลค่าการนำเข้าไม่มากนักมีอัตราการขยายตัวเพียงร้อยละ 12.8
สำหรับภาวะตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องหนังในประเทศโดยรวมในครึ่งปีแรกมีผลผลิตลดลงจากปีก่อนเพราะตลาดในประเทศถูกแย่งตลาดจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากจีนและเกาหลีที่มีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าและสินค้ามีความหลากหลายกว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังทั้งกระเป๋าและรองเท้าหนังมีความต้องการลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ประสบปัญหาเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องที่มีผลต่อการลดอำนาจการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องหนังในประเทศจะเน้นลูกค้าเป้าหมายในวัยทำงาน และวัยรุ่น เป็นส่วนใหญ่ ตลาดระดับบน สินค้าแบรนด์ชั้นนำที่ราคาแพงมีความต้องการไม่มากเท่าสินค้าแบรนด์ระดับราคาปานกลางที่คาดว่าจะมีสินค้าแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้นทั้งกระเป๋าและรองเท้า ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยอยู่ในเกณฑ์ดี การทำตลาดต้องอาศัยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายรูปแบบต่างๆ เพื่อกระตุ้นความต้องการของลูกค้าเป็นช่วงๆ ส่วนตลาดระดับกลางและระดับล่างที่เน้นสินค้าราคาย่อมเยายังคงมีความต้องการอยู่ในเกณฑ์ดี
การปรับตัวของผู้ประกอบการ
ท่ามกลางภาวะการชะลอตัวของตลาดและการแข่งขันที่รุ่นแรง ผู้ผลิตในประเทศได้พยายามปรับตัวโดยได้มีการทำวิจัยและพัฒนาการใช้วัตถุดิบในประเทศ ได้แก่ หนังปลานิลในการผลิตเครื่องหนังหลายประเภททั้งรองเท้า กระเป๋า และเข็มขัด โดยมีเป้าหมายจำหน่ายทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ ส่วนเครื่องหนังสำหรับเดินทางความต้องการในประเทศมีปริมาณน้อย และยังมีโรงงานผลิตกระเป๋าเดินทางจากต่างประเทศได้ปิดตัวลงเนื่องจากไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นได้จึงมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น อาทิ เวียดนาม ที่มีต้นทุนค่าแรงงานที่ถูกกว่าไทย และตลาดในประเทศมักจะนิยมแบรนด์จากต่างประเทศและมองว่าแบรนด์ของไทยยังไม่มีคุณภาพดีพอ กระเป๋าเดินทางแบรนด์ต่างประเทศได้มีการวางจำหน่ายครอบคลุมสถานที่ต่างๆ ทั้งศูนย์การค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีก เป็นต้น ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพื่อแข่งขันกับสินค้าแบรนด์ท้องถิ่นทั้งตลาดระดับบนและระดับกลาง
ทางด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องหนังที่ตอบสนองต่อตลาดสินค้าไอทีที่มีความต้องการมากขึ้นในปัจจุบันทำให้ผู้ผลิตกระเป๋าแบรนด์ไทยและแบรนด์ต่างประเทศพยายามปรับเป้าหมายเพิ่มยอดจำหน่ายโดยจับตลาดกระเป๋าหนังสำหรับสินค้าไอทีที่แนวโน้มตลาดคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อาทิ กระเป๋าโน๊ตบุ๊ค กระเป๋ากล้องถ่ายรูป เป็นต้น ซึ่งเป็นสินค้าตามแนวไลฟ์ไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่และยังมีการผลิตให้กับบริษัทไอทีต่างชาติโดยเน้นตลาดในประเทศและตลาดส่งออกซึ่งมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในระยะยาว นอกจากนั้น ยังมีการเจาะตลาดองค์กรขนาดใหญ่ อาทิ สายการบิน และบริษัทผลิตยานยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทผลิตกระเป๋าหนังแบรนด์ชั้นนำ ที่ผ่านมาโรงงานผลิตเครื่องหนังในประเทศไทยก็ได้มีการรับจ้างผลิตให้กับสินค้าเครื่องหนังแบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศหลายแบรนด์ ซึ่งแสดงถึงฝีมือแรงงานไทยที่มีศักยภาพดีพอที่จะผลิตสินค้าแข่งขันในตลาดโลกได้ แต่การออกแบบผลิตภัณฑ์และมาตรฐานการผลิตยังต้องพัฒนาและควรมีการส่งเสริมให้ผู้ผลิตไทยเข้าใจเรื่องการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและการจดสิทธิบัตรเพื่อเป็นแบรนด์เนมของตนเอง
โดยสรุปแล้วศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องหนังในครึ่งหลังของปี 2551 มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นตลาดส่งออกหลักของผลิตภัณฑ์เครื่องหนังไทยคาดว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง ประกอบกับการปรับขึ้นของราคาพลังงานและสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วโลกจึงน่าจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในทุกภูมิภาค ซึ่งก็จะส่งผลกระทบทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องหนังของไทยน่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงตาม ส่วนตลาดในประเทศทั้งด้านผลผลิตและปริมาณการนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องหนังก็มีสัญญาณชะลอตัวลงจากปีก่อน จากภาวะอุปสงค์ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ชะลอตัวลงจึงมีแนวโน้มว่าธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องหนังในปี 2551 นี้น่าจะมีอัตราการเติบโตลดลงจากปีก่อน โดยที่ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังเป็นสินค้าที่มีการส่งออกในสัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 60 ของการผลิตรวม ในปี 2551 นี้คาดการณ์ว่าการส่งออกจะมีมูลค่าใกล้เคียงกับปีก่อนหรืออาจปรับลดลงเล็กน้อย ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าน่าจะเติบโตในอัตราที่ลดลงจากปี 2550 จึงประมาณการได้ว่ามูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องหนังไทยในปี 2551 น่าจะมีอัตราการเติบโตระหว่างร้อยละ -2 ถึง 2 เปรียบเทียบกับปี 2550 ที่มีอัตราการเติบโตที่ประมาณร้อยละ 2-3
