บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา “KS Investor Conference presented by KGroup” ที่ห้องแกรนบอลรูม 2 โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำด้านข้อมูลบทวิเคราะห์ โดยการรวมเอาจุดแข็งในของบริษัทในเครือที่มีผู้เชี่ยวชาญครบทุกด้านเพื่อให้ข้อมูลแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องในรูปแบบของบทวิเคราะห์ งานสัมมนา และ Conference Call ซึ่งจะครอบคลุมทั้งข้อมูลภาพรวมและตัวเลขทางเศรษฐกิจในเชิงมหภาคจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ทิศทางและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนจากธนาคารกสิกรไทย และ ข้อมูลด้านตลาดทุนและอุตสาหกรรมที่น่าลงทุน จากบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย พร้อมแนะนำทีมนักวิเคราะห์ของบริษัทที่เพียบพร้อมด้วยความรู้และประสบการณ์ ทั้งทางด้านกลยุทธ์ ด้านเทคนิคและ ปัจจัยพื้นฐาน รวมกว่า 20 คน
คุณรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า KS Investor Conference เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการตามแนวคิดที่เน้นการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดของเครือธนาคารกสิกรไทย ซึ่งจัดขึ้นเพื่อประโยชน์สูงสุดในการตอบสนองความต้องการทางการเงินของลูกค้าอย่างครบวงจร
คุณณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากสภาพตลาดทุนในปัจจุบันนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและแฝงด้วยความท้าทายที่นับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้ความรู้ที่นักลงทุนต้องการจึงไม่จำกัดอยู่เพียงแค่ ความเคลื่อนไหวของภาคอุตสาหกรรมและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น แต่หากรวมถึงการจับตาความเคลื่อนไหวของเม็ดเงินในตลาดโลก ตลอดจนสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ในระดับเศรษฐศาสตร์มหภาค การเมือง นโยบายการเงิน แนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยน และความเคลื่อนไหวทางด้านตลาดเงิน ดังนั้น บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยจึงได้จัด KS Investor Conference ขึ้น โดยความร่วมมือของธนาคารกสิกรไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน ผ่านการให้ข้อมูลเชิงลึกที่ครบถ้วน ทันเหตุการณ์ เพื่อการวางกลยุทธ์และตัดสินใจลงทุนที่ถูกต้อง
โดยในงานสัมมนาครั้งนี้ คุณสุชีล นารูลา กรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ ได้ให้ภาพรวมโดยสรุปว่า การสูญเสียทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันจะส่งผลให้การเติบโตของ GDP ในปี 2551 ลดลงอยู่ในระดับ 3.6-5.0% เปรียบเทียบกับการเติบโตที่ 5.7% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ นอกจากนั้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลให้การเติบโตของยอดส่งออกปี 2552 ลดลงครึ่งหนึ่ง จาก 17% ในปีนี้ สำหรับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนั้นถึงแม้ว่าการสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวน่าจะส่งผลให้เงิน USD แข็งค่าขึ้น แต่เราคาดการณ์ว่าการแข็งค่าของเงิน USD ในระยะสั้นนี้จะสิ้นสุดลง และคาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อ USD จะอยู่ในระดับ 34 บาท ณ สิ้นปีนี้ ซึ่งการเกินดุลการค้าในปีหน้าจะก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยกดดันค่าเงิน USD ให้อ่อนตัวลง
ในส่วนของตลาดหุ้น บริษัทคาดการณ์ดัชนีต่ำสุดที่ 610-630 จุด โดยดัชนีจะไม่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน ที่คาดว่าจะเติบโตเพียงร้อยละ 7 ในปี 2552 เทียบกับอัตราการเติบโตที่ 65% ในปีนี้ แต่ปัจจัยที่จะมีผลต่อดัชนีของตลาดหลักทรัพย์จะเป็นการเปลี่ยนแปลงของ P/E ratio ซึ่งบริษัทมองว่าดัชนี ณ สิ้นปีนี้จะปิดที่ 740 จุด โดยมี P/E ratio ที่ 8.5 เท่าภายใต้ภาวการณ์ปกติ ในส่วนของสภาพคล่องโดยรวมในระบบจะเริ่มดีขึ้น แต่ก็จะลดลงจากช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้คาดว่ามูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันในปี 2552 อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท ลดลงจากมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยจนถึงปัจจุบันของปีนี้ที่ 17,400 ล้านบาท โดยบริษัทแนะนำหุ้นในธุรกิจบริการ (กลุ่มธนาคาร, เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, การพาณิชย์ และสื่อและสิ่งพิมพ์) และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (ที่พักอาศัย) โดยให้หลีกเลี่ยงกลุ่มพลังงานยกเว้นธุรกิจถ่านหิน