เจ.ดี. พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิก เปิดเผยผลการศึกษาวิจัยคุณภาพรถใหม่ ประจำปี 2551 (Initial Quality Study – IQS) ในวันนี้ พบว่า ฮอนด้า 2 รุ่นโตโยต้า 2 รุ่น และมาสด้า 1 รุ่น ได้รับคะแนนคุณภาพรถใหม่สูงสุดในแต่ละส่วนตลาดรถยนต์
การศึกษาวิจัยซึ่งศึกษาปัญหาคุณภาพรถใหม่ที่ลูกค้าประสบในช่วง 2 – 6 เดือนแรกหลังจากซื้อรถยนต์ ได้มีการตรวจสอบถึงรายการปัญหามากกว่า 200 ประการ และครอบคลุมองค์ประกอบรถยนต์ 8 ระบบ โดยเรียงตามลำดับของความถี่ของการรายงานถึงปัญหาที่ประสบได้แก่ ภายนอกรถยนต์, เครื่องยนต์ และระบบเกียร์, ประสบการณ์การขับขี่รถยนต์, ระบบฮีทเตอร์ ระบบระบายอากาศ และระบบแอร์ (HVAC), เครื่องเสียง ความบันเทิง และระบบนำทาง, อุปกรณ์ ปุ่มควบคุม และแผงหน้าปัด, ภายในรถยนต์ และระบบที่นั่ง การทำคะแนนด้านคุณภาพโดยรวมวัดได้จากจำนวนปัญหาที่ประสบจากรถยนต์ทุก 100 คัน (PP100) และคะแนนยิ่งน้อยเท่าไรก็หมายความว่าคุณภาพยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
ผลการศึกษารุ่นรถในแต่ละส่วนตลาดรถยนต์
ในส่วนตลาดรถยนต์ขนาดกลางระดับต้น พบว่า ฮอนด้า แจ๊สใหม่ ครองอันดับหนึ่งด้วยคะแนน 104 PP100 และยังมีจำนวนปัญหาน้อยที่สุดในกลุ่มรุ่นรถยนต์ทุกรุ่นที่เข้าร่วมการวิจัยในปี 2551 ตามด้วย โตโยต้า 2 รุ่น คือ ยาริส (151 PP100) และ วีออส (158 PP100)
มาสด้า 3 (137 PP100) ได้รับคะแนนคุณภาพรถใหม่สูงสุดในส่วนตลาดรถยนต์ขนาดกลางติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ตามด้วย โตโยต้า โคโรล่า อัลติสใหม่ (179 PP100) ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2551 และฮอนด้า ซีวิค (194 PP100)
ส่วนฮอนด้า ซีอาร์-วี ซึ่งได้คะแนน 105 จาก PP100 ยังคงครองตำแหน่งสูงสุดติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ในตลาดรถยนต์ SUV (รถอเนกประสงค์กึ่งสปอร์ต) โดยมีเชฟโรเล็ต แคปติวา (139 PP100) ตามมาเป็นอันดับสอง และโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ (156 PP100) ครองอันดับสาม
ในบรรดารถปิกอัพตอนขยาย โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ ติดอันดับสูงสุดติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ด้วยคะแนน 148 PP100 ตามด้วยนิสสัน ฟรอนเทียร์ นาวารา (156 PP100) และโตโยต้า ไฮลักซ์ พรีรันเนอร์ (158 PP100)
ในส่วนของรถปิกอัพสองตอน โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ พรีรันเนอร์ (161 PP100) ครองอันดับสูงสุดติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ที่ตามติด ๆ ด้วยอีซูซุ ดีแมคซ์ ไฮแลนเดอร์ (163 PP100) และนิสสัน ฟรอนเทียร์ นาวารา (168 PP100)
ผลการศึกษาอุตสาหกรรม
จากการศึกษา พบว่า คุณภาพรถใหม่โดยรวมในประเทศไทยในปี 2551 มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 161 PP100 ซึ่งดีขึ้นถึง 24 คะแนนจากปี 2550 โดยปัญหาที่มีการรายงานเข้ามามากที่สุดได้แก่ มีเสียงลมดังมากเกินไป, การรับคลื่นของวิทยุไม่ดี หรือไม่มีคลื่น, มีกลิ่นอับชื้นจากช่องลม, เข้าเกียร์ลำบาก (สำหรับรถรุ่นเกียร์ธรรมดา) และรถเสียศูนย์อย่างเห็นได้ชัด
โลอิค เปอ็อง ผู้จัดการประจำประเทศไทย เจ.ดี. เพาเวอร์ เอเชีย แปซิฟิก ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า “ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับเจ้าของรถยนต์ในไทยซึ่งพวกเขารายงานว่าล้วนเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความไม่สะดวกสบายมากที่สุด ดังนั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากที่ผู้ผลิตจะต้องใส่ใจฟังคำเรียกร้องของลูกค้า และพยายามอย่างมุ่งมั่นเพื่อแก้ไขปัญหาหลัก ๆ ในด้านของคุณภาพ”
จากการศึกษาพบว่า 62 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่กล่าวว่า “พอใจ” หรือ “พอใจมาก” กับคุณภาพรถยนต์โดยรวมของพวกเขา (โดยการให้ 8 คะแนนหรือมากกว่า ในช่วงคะแนน 1 ถึง 10 คะแนน) จะกล่าวต่อว่าเขาจะแนะนำรถยนต์รุ่นที่เขาซื้อ “อย่างแน่นอน” เปรียบเทียบกับเพียง 39 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่แจ้งว่า “ผิดหวัง” หรือ “เฉยๆ” (โดยให้ 7 คะแนน หรือต่ำกว่า) ในลักษณะเดียวกัน 49 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่กล่าวว่า “พอใจ” หรือ “พอใจมาก” ก็จะกล่าวว่าเขาจะกลับมาซื้อยี่ห้อเดิมอีก “อย่างแน่นอน” ในขณะที่เพียง 29 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่กล่าว “ผิดหวัง” หรือ “เฉยๆ” เท่านั้น ที่จะพูดต่อในทำนองเดียวกัน
“คุณภาพรถใหม่ทำให้มีผลอย่างมากต่อการรักษาลูกค้าเก่าไว้ได้และการได้ลูกค้าใหม่” เปอ็อง กล่าว “เพราะฉะนั้นความมุ่งมั่นของผู้ผลิตในท้องถิ่นเพื่อพยายามที่จะปรับปรุงคุณภาพของรถยนต์ที่พวกเขาผลิตให้สูงขึ้นจึงมีความสำคัญเป็นที่สุดต่อการรักษาไว้ของการขยายตัวของธุรกิจ”
การศึกษาวิจัยคุณภาพรถใหม่ในประเทศไทย ประจำปี 2551 นี้ จัดทำขึ้นโดยทำการประเมินผลจากเจ้าของรถยนต์ใหม่ จำนวน 3,793 ราย ที่ซื้อรถยนต์ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม 2550 ถึงเดือนมิถุนายน 2551 เพื่อศึกษารถยนต์นั่ง รถปิกอัพ และรถยนต์อเนกประสงค์ จำนวนทั้งสิ้น 65 รุ่น จากรถยนต์ 11 ยี่ห้อ โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคสนามในช่วงระหว่างเดือนเมษายน ถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551
การศึกษาวิจัยคุณภาพรถใหม่เป็น 1 ใน 4 ของการศึกษาวิจัยด้านพฤติกรรมลูกค้าที่ เจ.ดี. พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิก จัดทำขึ้นใน ประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาวิจัยความพึงพอใจของลูกค้า ประจำปี 2551 (Customer Satisfaction Index: CSI) ซึ่งเป็นการวัด ความพึงพอใจของลูกค้าต่อศูนย์บริการมาตรฐานในประเทศไทย ซึ่งได้เผยแพร่ไปแล้วในเดือนมิถุนายนส่วนดัชนีการวัดความพึงพอใจด้านบริการการขาย ประจำปี 2551 (Sales Satisfaction Index: SSI) ซึ่งเป็นการวัดความพึงพอใจต่อขั้นตอนการขายรถใหม่ ซึ่งได้เผยแพร่ไปแล้วเมื่อเดือนกรฎาคม รวมทั้งการศึกษาวิจัยเรื่องสมรรถนะ ระบบการทำงานและรูปลักษณ์ ประจำปี 2551 (Automotive Performance, Execution and Layout: APEAL) ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของผู้ซื้อรถใหม่ถึงปัจจัยที่สร้างความรู้สึกตื่นตาต่อสมรรถนะ รูปลักษณ์ และการออกแบบของรถยนต์คันใหม่ จะเผยแพร่ผลในช่วงเดือนธันวาคมนี้
เกี่ยวกับ เจ.ดี. พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิก (J.D. Power Asia Pacific)
เจ.ดี. พาวเวอร์ ในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก มีสถานที่ทำการในกรุงโตเกียว สิงคโปร์ และจีน โดยจัดทำบทวิจัยความพึงพอใจของลูกค้าและให้บริการคำปรึกษาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการเงิน ผลงานจากสามประเทศนี้คือความเข้าใจในความพึงพอใจของลูกค้า ที่ช่วยให้ผู้บริโภคและธุรกิจ ต่าง ๆ ใน จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และประเทศไทย เข้าใจถึงสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคได้รับความพึงพอใจสามารถเข้าเยี่ยมชมข้อมูลที่มาจาก เจ.ดี. พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิก และสินค้าของบริษัท ได้ที่ www.jdpower.com
เกี่ยวกับ เจ.ดี. พาวเวอร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ (J.D. Power and Associates)
สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เวสต์เลค วิลเลจ, แคลิฟอเนียร์ โดย เจ.ดี. พาวเวอร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ เป็นบริษัทจดทะเบียนระดับโลกที่ให้บริการด้านข้อมูลทางการตลาดโดยมีการดำเนินงาน ในกลุ่มธุรกิจหลักอันรวมถึงการวิจัยทางการตลาด การคาดการณ์ การปรับปรุงผลงาน การฝึกอบรมและการวัดความพึงพอใจของลูกค้า ทั้งนี้เจ.ดี. พาวเวอร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ เป็นบริษัทหนึ่งของ เดอะ แม็คโกรว–ฮิลล์ คอมพานีส์
เกี่ยวกับ เดอะ แม็คโกรว–ฮิลล์ คอมพานีส์ (The McGraw-Hill Companies)
ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2431 เดอะ แม็คโกรว-ฮิลล์ คอมพานีส์ (NYSE: MHP) เป็นผู้ให้บริการด้านข้อมูลชั้นนำระดับโลกที่ ตอบสนองความต้องการจากทั่วโลก ในด้านบริการทางการเงิน การศึกษา และอุตสาหกรรมเกี่ยวกับข้อมูลด้านธุรกิจ ผ่านแบรนด์ชั้นนำ เช่น สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (Standard & Poor’s), แม็คโกรว-ฮิลล์ เอดูเคชั่น (McGraw-Hill Education), บิสิเนสวีค (BusinessWeek) และ เจ.ดี. พาวเวอร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ ทั้งนี้ บริษัทมีสำนักงานมากกว่า 280 แห่งใน 40 ประเทศ และมียอดขายใน พ.ศ. 2550 ที่ 6,800 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้จาก http://www.mcgraw-hill.com