เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้จัดการแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ทางออกธุรกิจไทย…ฝ่าวิกฤตการเงินโลก” โดยได้รับเกียรติจากคุณปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นองค์ปาฐก ณ โรงแรมโฟร์ซีซันส์ กรุงเทพฯ
ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ได้สรุปต้นเหตุของวิกฤตการณ์ทางการเงินโลก (Global financial perfect storm) ไว้ 3 ประการ คือ การดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด ความหย่อนยานในการกำกับดูแลตลาดการเงินและความโลภ
การดำเนินนโยบายหลักที่ผิดพลาด คือ การคงอัตราดอกเบี้ยต่ำของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในช่วงปี ค.ศ. 2001-2003 ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้การออมมีระดับต่ำสุดในรอบ 79 ปี และมีอัตราก่อหนี้ในปี ค.ศ. 2008 เพิ่มขึ้นถึง 400% นอกจากนี้นโยบายการปล่อยสินเชื่อที่หย่อนยาน ทำให้เกิดสินเชื่อด้อยคุณภาพขาดหลักค้ำประกัน (Subprime) อย่างมากมาย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเงินของสหรัฐอเมริกาและก่อให้เกิดลูกหนี้ประเภท NINJA กล่าวคือ ไม่มีงาน ไม่มีรายได้ ไม่มีทรัพย์สินใด ๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป และผลกระทบที่สำคัญ คือ เกิดภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์
ยิ่งไปกว่านั้น ในปี ค.ศ. 2004-2006 ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ปรับอัตราดอกเบี้ยจาก 1 % เป็น 5 % ส่งผลให้คนที่กู้ยืมเงินมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้ เกิดฟองสบู่แตกในภาคอสังหาริมทรัพย์ ราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง อัตราของการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของตราสารการลงทุนที่มีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (CDOs: Collateralized Debt Obligations) กล่าวคือ มีสินเชื่อ subprime เป็น underlying assets ที่สถาบันการเงินต่าง ๆ เช่น Hedge funds บริษัทประกันและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่าง ๆ ถือไว้เป็นจำนวนมาก การด้อยค่าของสินทรัพย์ ทำให้สถาบันการเงินเหล่านี้ประสบปัญหาขาดทุนและบางแห่งถึงกับล้มละลาย และปัญหาที่เกิดขึ้นได้ขยายลุกลามวงกว้างไปทั่วโลก ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งเศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัวอย่างชัดเจนในปี ค.ศ. 2008 และคาดการณ์ว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
สำหรับเศรษฐกิจไทย จะเห็นผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกได้ชัดเจนขึ้นในไตรมาสที่ 4 ปี พ.ศ. 2551 ภาคการผลิตได้ส่งสัญญาณชะลอตัวในไตรมาส 3 โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอ หนังและเครื่องหนัง เคมีภัณฑ์ และก่อสร้าง สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่มีแนวโน้มลดลงในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ทางด้านการบริโภคและลงทุนภาคเอกชนก็ชะลอตัวตามการถดถอยของความเชื่อมั่นผู้บริโภคและความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ที่น่ากังวลคือ วิกฤตการเงินโลกได้เริ่มส่งผลชัดเจนต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดหลักที่ขยายตัวเพียงประมาณ 2% ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงและปรับลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายน ตามแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกยังกดดันให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ปรับตัวลง แม้ว่าการปรับลงของราคาน้ำมันจะเป็นข่าวดีสำหรับคนทั่วไป แต่การปรับลงของราคาสินค้าเกษตรได้ส่งผลให้กำลังซื้อของเกษตรกรในต่างจังหวัดลดลงด้วย ส่วนการท่องเที่ยวก็ชะลอตัวเช่นกัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยรวม
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะต้องเผชิญกับปัจจัยลบต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น แต่โดยรวมแล้ว เศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. 2551 ยังสามารถขยายตัวได้ประมาณ 4.3 – 5.0% (ตามการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย และยังไม่รวมผลกระทบทางการเมืองจากการปิดสนามของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) โดยได้รับปัจจัยบวกจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่สูงมาก อัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำสภาพคล่องส่วนเกินในระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ในเกณฑ์สูง ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานของไทยที่มีฐานะที่ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2540 เช่น เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง หนี้ต่างประเทศที่ต่ำกว่า เป็นต้น
ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา องค์ปาฐกได้สรุป “ทางออกของธุรกิจไทย…ฝ่าวิกฤตการเงินโลก” ไว้อย่างน่าสนใจคือ ภาคธุรกิจควรยึดหลัก SOS (Survival, Opportunity, and Specialization) โดย S-Survival เป็นเรื่องของความอยู่รอด ธุรกิจควรทำการวิเคราะห์สภาพคล่องกระแสเงินสดใน 2 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันต้องควบคุมค่าใช้จ่าย พร้อมกับการหาแหล่งเงินทุนใหม่ ส่วน O-Opportunity คือการปรับวิกฤติเป็นโอกาส ซึ่งอาจทำได้โดยการปรับโครงสร้าง การหาตลาดใหม่ การควบรวมกิจการ เป็นต้น และสุดท้าย S-Specialization คือการเน้นทำในสิ่งที่ตนถนัด การสร้างตลาดเฉพาะ (Niche market) ของเราเอง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจ และผ่าทางตันวิกฤตการณ์ทางการเงินโลกในครั้งนี้ และยังอาจท้าทายไปถึงวิกฤตอาหารโลก วิกฤตภัยธรรมชาติ และวิกฤตการเมืองภายในประเทศที่กำลังรอการเยียวยา และรักษาเพื่อเอาชีวิตรอดอยู่ ณ วินาทีนี้
เรียบเรียงและสรุปโดยทีมงาน คณะกรรมการการจัดการประชุมวิชาการนานาชาติว่าด้วยธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย (International Conference Business in Asia : iCBA) คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ([email protected])