ทิปโก้ เปิดโรงงานเครื่องดื่มใหม่ พร้อมก้าวเป็นผู้นำ เครื่องดื่มสุขภาพในตลาดอาเซียน

ทิปโก้ เอฟแอนด์บี บริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ. ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) และบริษัท ซันโตรี่ ผู้นำเครื่องดื่มสุขภาพจากญี่ปุ่น ทำพิธีเปิดโรงงานเครื่องดื่มที่ทันสมัยระดับสากลแห่งใหม่อย่างเป็นทางการ ที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อรองรับการขยายตลาดและการเติบโตทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียน

โรงงานดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่ 40 ไร่ และมีกำลังการผลิต 130 ล้านลิตรต่อปี ด้วยงบลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท ได้รับการออกแบบและติดตั้งเทคโนโลยีการผลิตและการควบคุมคุณภาพขั้นสูง ปัจจุบันผลิตสินค้าน้ำผลไม้ เครื่องดื่มธัญญาหาร และเครื่องดื่มเสริมสุขภาพ (ฟังก์ชันนัลดริงก์) โดยมีขนาดบรรจุตั้งแต่ 110 มิลลิลิตร ถึง 1 ลิตร

และที่สำคัญโรงงานใช้ระบบบำบัดน้ำเสียที่ทันสมัยแบบระบบปิด (UASB) เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน อีกทั้งวางแผนรวมศูนย์การวิจัยและพัฒนาสินค้าในบริเวณเดียวกัน เมื่อแผนการขยายโรงงานในขั้นสองเสร็จสมบูรณ์ในอนาคตอันใกล้

ระบบการผลิตเน้นความปลอดภัยของผู้บริโภค และคุณค่าของสินค้า จึงเลือกใช้การผลิตที่ไม่ใช้วัตถุกันเสีย บรรจุปลอดเชื้อแบบเย็น (COLD ASEPTIC FILL) และระบบพาสเจอร์ไรซ์เท่านั้น โดยบรรจุภัณฑ์มีทั้งในกล่องกระดาษ (CARTON) และขวด PET
นายวิวัฒน์ ลิ้มศักดากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้เอฟแอนด์บี จำกัด กล่าวว่า “โรงงานแห่งใหม่ของทิปโก้ มีมาตรฐานคุณภาพสูงและมีกำลังการผลิตเป็น 3 เท่าของโรงงานเดิมที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการขนส่งให้ลูกค้าและการส่งออก รวมทั้งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ได้อีกด้วย”

“เราจะสามารถสร้างความแตกต่าง และคุณค่าเพิ่มให้กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ณ โรงงานแห่งใหม่นี้ด้วยคุณภาพ รสชาติและคุณค่าโภชนาการ ที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงการบริโภคและการดำรงชีวิตของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ความสำเร็จของเราอยู่ที่ความสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า และทักษะของบุคลากรในบริษัท” นายวิวัฒน์กล่าวเสริม

สำหรับแผนการตลาดปีหน้า ซึ่งต้องผจญปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และการเงินโดยรวม ทั้งในและต่างประเทศ บริษัทจะเน้นการเติบโตที่สมดุลย์ โดยให้ความสำคัญการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในแต่ละกลุ่ม และแต่ละประเทศในตลาดอาเซียน ความแตกต่างของสินค้าในเรื่องคุณภาพและรสชาติ จะเป็นปัจจัยหลักช่วยรักษาการเติบโตของบริษัทอย่างยั่งยืน และเป็นการสร้างตราสินค้าให้เข้มแข็งขึ้น