ยูพีเอสเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 4 และทั้งปี 2551

ยูพีเอสประกาศผลกำไรต่อหุ้นปรับลดเมื่อปรับค่าเงินในไตรมาสที่สี่ของปี 2551 อยู่ที่ 0.83 ดอลล่าร์สหรัฐ ฯ ลดลง 22% จากกำไรต่อหุ้นปรับลดเมื่อปรับค่าเงินที่ 1.07 ดอลล่าร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ตามรายงาน กำไรต่อหุ้นปรับลดในไตรมาสที่ สี่ของปี 2551 อยู่ที่ 0.25 ดอลล่าร์ และขาดทุนต่อหุ้นในไตรมาสที่สี่ของปี 2550 อยู่ที่ 2.52 ดอลล่าร์ ตามลำดับ

ในเอเชียแปซิฟิก ยูพีเอสมีปริมาณการส่งออกในไตรมาสสี่ของปี 2551 เติบโตเกือบ 25% ในตลาดอินเดีย และประมาณ 10% ในตลาดจีน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และมีปริมาณการส่งออกทั้งปีในเอเชียแปซิฟิกเติบโตเกือบ 5%

นายเดเรค วูดวาร์ด ประธานยูพีเอส ประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า “ปี 2551 เป็นปีที่ยากลำบาก แต่กระนั้น ยูพีเอสยังมีผลประกอบการที่ดีในเอเชีย ซึ่งเป็นผลจากการเสริมสร้างและปรับปรุงการให้บริการต่าง ๆ ในภูมิภาค อันได้แก่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่าง UPS Paperless Invoice และ International Returns รวมทั้งการตั้งสำนักงานที่ยูพีเอสเป็นเจ้าของเองทั้งหมดในเกาหลี และที่สำคัญที่สุด ยูพีเอสยังมีแผนการลงทุนในอนาคตอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างกลยุทธ์มัลติฮับ หรือศูนย์กระจายสินค้าทางอากาศหลายแห่งในภูมิภาค โดยการตั้งฮับแห่งใหม่ที่เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น”

“เราคาดว่าปี 2552 ยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับหลาย ๆ ธุรกิจ รวมทั้งสำหรับลูกค้าด้วย ในสถานการณ์เช่นนี้ เราต้องการมุ่งเน้นในการช่วยเหลือให้ลูกค้าของเราเสริมสร้างและบริหารธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็เสริมสร้างธุรกิจของเราให้เติบโตในระยะยาว ซึ่งนับเป็นการช่วยให้ยูพีเอสสามารถรักษาสถานการณ์เงินที่แข็งแกร่งและเสริมสร้างความเป็นผู้นำในธุรกิจได้”

ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อผลประกอบการในไตรมาสสี่ของปี 2551 คือการด้อยค่าของค่าความนิยมที่ไม่ใช่เงินสดเป็นจำนวน 575 ดอลล่าร์สหรัฐ ฯ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในธุรกิจ UPS Freight อันเป็นผลจากภาวะการบรรทุกแบบไม่เต็มคันรถซึ่งเกิดขึ้นในอัตราสูง สำหรับปัจจัยสำคัญที่มีต่อผลประกอบการในไตรมาสสี่ของปี 2550 คือค่าใช้จ่ายจำนวน 6.1 พันล้านดอลล่าร์ในธุรกิจขนส่งพัสดุภายในสหรัฐอมริกาซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการที่พนักงานของยูพีเอสถอนตัวจากแผนเกษียณอายุของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งการถอนตัวดังกล่าวเป็นไปตามข้อตกลงกับสมาคมแห่งภราดรภาพนานาชาติ (The International Brotherhood of Teamsters)

สำหรับปี 2551 ทั้งปี ยูพีเอสมีผลกำไร 6 พันล้านดอลล่าร์ และกำไรต่อหุ้นปรับลดเมื่อปรับตามค่าเงินอยู่ที่ 3.50 ดอลล่าร์ และมีผลกำไร 5.4 พันล้านดอลล่าร์ และกำไรต่อหุ้นปรับลด 2.94 ดอลล่าร์ตามรายงาน

นายสก็อต เดวิส ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยูพีเอส กล่าวว่า “สภาพเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกส่งผลให้ปริมาณการขนส่งพัสดุภัณฑ์และรายได้จากค่าระวางของยูพีเอสลดลงอย่างมาก เราจึงจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร ค่าตอบแทนพนักงาน และปรับปรุงเครือข่าย”

ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร ได้แก่ การรวมหน่วยปฏิบัติการต่าง ๆ การลดบริการขนส่งทางอากาศ และการลดหน่วยงานการจัดการหีบห่อบางส่วนลง เรายังได้ประกาศตรึงเงินเดือนผู้บริหารและจำเป็นต้องระงับแผนการออม 401(k) ไว้ก่อน ซึ่งจะไม่มีผลใด ๆ กับผลประโยชน์ในระยะยาวของพนักงานตามแผนเกษียณอายุ

สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ปริมาณการขนส่งพัสดุภัณฑ์ลดลง 3.7% เหลือ 1 พันล้านชิ้น ส่งผลให้รายได้ลดลง 5% แม้ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงช่วยให้ต้นทุนในไตรมาสนี้ลดลง แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกได้

สำหรับปี 2551 ทั้งปี ยูพีเอสส่งพัสดุภัณฑ์ทั้งหมด 3.9 พันล้านชิ้น หรือเฉลี่ย 15.5 ล้านชิ้นต่อวัน มียอดรายได้รวม 51.5 พันล้านดอลล่าร์ หรือเพิ่มขึ้น 3.6%

ฐานะเงินสด
ยูพีเอสมีฐานะเงินสดที่แข็งแกร่งเมื่อสิ้นปี 2551 ด้วยปริมาณกระแสเงินสดจำนวน 5.7 พันล้านดอลล่าร์ และมีการดำเนินการด้านการเงินที่สำคัญดังนี้
– มีรายได้ที่เป็นเงินสดจากการดำเนินงาน 8.5 พันล้านดอลล่าร์
– ซื้อคืนหุ้น 53.6 ล้านหุ้น เป็นมูลค่า 3.6 พันล้านดอลล่าร์
– จ่ายเงินปันผลจำนวน 2.2 พันล้านดอลล่าร์ ซึ่งเป็นอัตราที่สูงขึ้น 7%
– มีรายจ่ายการลงทุน 2.6 พันล้านดอลล่าร์
– มีเงินสดและมูลค่าการลงทุนระยะสั้นเมื่อสิ้นปี 1 พันล้านดอลล่าร์

ปริมาณการขนส่งพัสดุภัณฑ์ในสหรัฐ ฯ ลดลง 4.4% โดยการขนส่งภาคพื้นดินลดลง 3.7%และการขนส่งภาคอากาศ Next Day Air ลดลง 10.1% ราคาค่าบริการยังคงอัตราเดิม การเติบโตของรายได้ต่อชิ้นพัสดุถูกจำกัดด้วยน้ำหนักเฉลี่ยต่อชิ้นพัสดุที่ลดลง และด้วยปริมาณการขนส่งผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยมลดลง แนวโน้มเหล่านี้ ประกอบกับปริมาณพัสดุที่ลดลง ทำให้ต้นทุนที่ต่ำลงจากการปรับลดราคาน้ำมันและการได้งานใหม่ ๆ มาไม่เพียงพอที่จะชดเชยได้

ทั้งนี้ ในช่วงที่มีปริมาณการขนส่งที่สูงระหว่างวันหยุดเทศกาลต่าง ๆ มีปริมาณพัสดุภัณฑ์สูงเกินกว่า 20 ล้านชิ้นต่อวันเป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน

ปริมาณการส่งออกในไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 1.6% ซึ่งสูงกว่าแนวโน้มโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรมขนส่ง อย่างไรก็ตาม รายได้รวมและรายได้ต่อชิ้นลดลง 8% โดยมีสาเหตุหลักจากปริมาณการขนส่งผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยมที่ลดลง สภาพเศรษฐกิจโดยรวม และการแข็งค่าของดอลล่าร์สหรัฐฯ กำไรจากการดำเนินการเมื่อปรับตามค่าเงินลดลงเหลือ 393 ล้านดอลล่าร์ ไม่รวมผลจากการเสื่อมค่าของสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนจำนวน 27 ล้านดอลล่าร์ จากธุรกิจการขนส่งภายในประเทศในอังกฤษ ซึ่งส่งผลให้กำไรลดลงเหลือ 366 ล้านดอลล่าร์

ในไตรมาสนี้ ยูพีเอสยังคงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง มีการขยายธุรกิจในจีนโดยการเปิดฮับแห่งใหม่ที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งนับเป็นฮับของบริษัทขนส่งจากสหรัฐอเมริกาแห่งแรกในจีน สามารถเชื่อมโยงจีนทั้งประเทศเข้ากับเครือข่ายนานาชาติของยูพีเอส นอกจากนั้น ยูพีเอสยังเริ่มก่อสร้างฮับประจำภูมิภาคเอเชียแห่งใหม่ในเซินเจิ้น ซึ่งคาดว่าจะเปิดบริการในปี 2553

ธุรกิจซัพพลายเชนและค่าระวางขนส่งมีผลดำเนินการขาดทุน 495 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งเป็นผลจากการเสื่อมค่าความนิยมในธุรกิจ UPS Freight จำนวน 548 ล้านดอลล่าร์ รายได้ในธุรกิจส่วนนี้ในไตรมาสสี่ลดลง 6.5% และกำไรจากการปรับค่าเงินอยู่ที่ 53 ล้านดอลล่าร์ ลดลง 29 ล้านดอลล่าร์จากปีที่แล้ว

ผลกำไรที่ลดลงของธุรกิจ UPS Freight ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจส่วนนี้ รายได้ LTL ลดลง 9.6% ปริมาณการขนส่งต่อวันลดลง 8.2% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปี

แม้สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ส่งผลให้รายได้ลดลง ธุรกิจฟอร์เวิดดิ้งและโลจิสติกส์ยังมีอัตรากำไรที่สูงขึ้น

ภาคธุรกิจหนึ่งที่ยูพีเอสมุ่งเน้นคือเฮลธ์แคร์ ซึ่งยูพีเอสได้ลงทุนเพื่อพัฒนาโซลูชั่นที่ตอบสนองความต้องการด้านซัพพลายเชนของลูกค้าในอุตสาหกรรมดังกล่าว ต้นปีที่ผ่านมา เมิร์ก แอนด์ โค ได้เลือกยูพีเอสเป็นผู้กระจายสินค้าเวชภัณฑ์และวัคซีนและบริการขนส่งพัสดุภัณฑ์ต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยปัจจุบัน ยูพีเอสบริหารศูนย์กระจายสินค้าด้านเฮลธ์แคร์ 25 แห่ง แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของยูพีเอสในการขยายบริการการจัดการด้านซัพพลายเชนสู่ธุรกิจเฮลธ์แคร์

ภาพรวม
เคิร์ท คูน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ยูพีเอส กล่าวว่า “ด้วยภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ทิศทางในอนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ลำบาก ฉะนั้น ยูพีเอสจึงสามารถคาดการณ์ผลการดำเนินธุรกิจเฉพาะในไตรมาสแรก ซึ่งคาดว่า กำไรต่อหุ้นจะอยู่ในช่วง 0.52 – 0.68 ดอลล่าร์”

“เชื่อแน่ว่าปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทายที่สุดปีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของยูพีเอส นักเศรษฐศาสตร์ต่างก็เชื่อว่าเศรษฐกิจจะไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจนจนกระทั่งปี 2553 รายได้ในปีนี้จึงคงไม่ดีนัก ปริมาณการขนส่งและน้ำหนักพัสดุภัณฑ์ที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อผลกำไร เราคาดว่าผลประกอบการในไตรมาสแรกคงไม่ดีนัก แต่เชื่อว่าธุรกิจจะดีขึ้นในช่วงหลังจากไตรมาสนี้ เมื่อมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ เริ่มส่งผลดี”

เดวิสกล่าวทิ้งท้ายว่า “องค์กรของเราได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการรับมือการสภาพของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลามาได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน และยังคงเป็นบริษัทที่มีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในธุรกิจนี้ ยูพีเอสจะมีความคล่องตัวมากขึ้น มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และอยู่ในตำแหน่งทางธุรกิจที่ดียิ่งขึ้น เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว”

ยูพีเอส เป็นบริษัทจัดส่งพัสดุภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นผู้นำโลกในธุรกิจบริการซัพพลายเชนและเฟรทที่ให้บริการหลากหลายครบวงจร ด้วยประสบการณ์กว่า 1 ศตวรรษในด้านการขนส่งและลอจิสติกส์ ยูพีเอสได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับโลกด้านการค้าด้วยโซลูชั่นต่างๆ ที่ครบวงจร บริษัทยูพีเอสมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองแอตแลนต้า มลรัฐจอร์เจีย และมีศูนย์จัดส่งและให้บริการในกว่า 200 ประเทศและเขตการปกครองต่างๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับบริษัทฯ ได้ที่เว็บไซต์ UPS.com และสามารถรับข่าวสารโดยตรงจากยูพีเอสได้ที่ pressroom.ups.com/RSS