แฟคเตอริ่งกสิกรไทย ตั้งเป้าเพิ่มยอดสินเชื่อปีนี้ 21% ครองอันดับหนึ่งในตลาด

แฟคเตอริ่งกสิกรไทยมองสินเชื่อแฟคเตอริ่งสดใส พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ดันสินเชื่อแฟคเตอริ่งในประเทศกสิกรไทย เจาะกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ใช้ใบแจ้งหนี้มายื่นแล้วรับเงินทันทีในวันถัดไป ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อปีนี้เพิ่มอีกกว่า 5,000 ล้าน พร้อมดันส่วนแบ่งตลาดเป็น 24% เป็นผู้นำตลาดต่อเนื่อง

นางพรรณี เลิศจรรยากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฟคเตอริ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการในบางธุรกิจมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น ทางบริษัทฯ ได้เล็งเห็นโอกาสในการเข้ามาสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะการให้บริการสินเชื่อแฟคเตอริ่งในประเทศกสิกรไทย (K-Local Factoring) ซึ่งเป็นสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นไม่เกิน 120 วัน โดยผู้ประกอบธุรกิจสามารถนำลูกหนี้การค้ามาทำการโอนสิทธิการรับเงินเป็นหลักประกัน พร้อมรับเงินชำระล่วงหน้าได้สูงสุดถึง 80% ของมูลค่าลูกหนี้การค้าที่นำมาโอนสิทธิ ส่วนที่เหลือ 20% จะได้รับเมื่อลูกหนี้การค้าชำระเงินแล้ว

สินเชื่อแฟคเตอริ่งในประเทศกสิกรไทย ยังมีความคล่องตัวและยืดหยุ่นสูง เนื่องจากวงเงินสามารถขอปรับเพิ่มได้ตามมูลค่าของลูกหนี้การค้าที่นำมาโอนสิทธิ สามารถเบิกใช้เงินได้ตามความจำเป็น และสามารถรับเงินได้ในวันทำการถัดไปทันที นอกจากนั้นผู้ประกอบการยังได้รับบริการการเรียกเก็บหนี้ครบวงจร ซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการวางแผนทางการเงินสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสินเชื่อแฟคเตอริ่งในประเทศกสิกรไทย ต้องเป็นลูกค้านิติบุคคลผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีสถานประกอบการอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี ระยองและอยุธยา ดำเนินธุรกิจมาแล้ว 2 ปีขึ้นไป มีลูกหนี้การค้าที่มีคุณภาพและมีเอกสารการค้าที่ชัดเจน ถึงแม้จะมีเงินทุนหรือหลักประกันที่จำกัดหรือไม่เพียงพอในการขอสินเชื่อกับธนาคารก็ตาม

นางพรรณี กล่าวในตอนท้ายว่า ในช่วงที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่บริษัทได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยพยายามเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นแต่มีข้อจำกัดเรื่องหลักประกัน ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2551 มีปริมาณธุรกิจถึง 23,600 ล้านบาท และคาดว่าในปีนี้จะสามารถเพิ่มปริมาณธุรกิจได้อีกกว่า 5,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 21% และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 21% เป็น 24% ซึ่งจะทำให้บริษัทครองความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดแฟคเตอริ่งในประเทศไทย