ตลาดขนมหวานสำเร็จรูป’52 : เผชิญความท้าทายรอบด้าน

เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมีส่วนกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภคให้เปลี่ยนแปลงไป โดยเริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพ เลือกรับประทานอาหารที่จำเป็นและมีประโยชน์ ใส่ใจสุขภาพและรูปร่างมากขึ้น ลดการใช้จ่ายในการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยหรืออาหารทานเล่นลง ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มขนมหวานสำเร็จรูป (Confectionery) ได้แก่ ลูกอม หมากฝรั่ง และช็อคโกแลต ซึ่งจัดเป็นอาหารทานเล่น ประกอบกับมีส่วนผสมของน้ำตาลในสัดส่วนที่สูงมากกว่าร้อยละ 50 จึงนับเป็นสินค้าในอันดับแรกๆที่ผู้บริโภคจะลดการบริโภคลง ดังนั้น เพื่อเป็นการลดข้อกังวลของผู้บริโภค ผู้ผลิตจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ซึ่งนอกเหนือจากด้านรสชาติแล้ว ยังเน้นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองกับกระแสรักสุขภาพของสังคม โดยใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลและใช้ส่วนผสมที่มีไขมันต่ำ เพิ่มส่วนผสมที่มีประโยชน์ ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามน่ารับประทาน อีกทั้งการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัยและพกพาสะดวก เพื่อรักษาและขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในภาวะเศรษฐกิจที่กำลังซื้อชะลอตัว

ตลาดขนมหวานสำเร็จรูปในเอเชียที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 5.7 โดยญี่ปุ่นมีมูลค่าตลาดสูงสุดร้อยละ 44.3 จีนร้อยละ 26.1 เกาหลีใต้ร้อยละ 7.4 และอินเดียร้อยละ 3.9 ซึ่งแบ่งสัดส่วนเป็นขนมในกลุ่มช็อคโกแลตมากที่สุดถึงร้อยละ 51.2 ตามด้วยขนมหวานจากน้ำตาลร้อยละ 31.6 และหมากฝรั่งร้อยละ 15.6 ตามลำดับ ส่วนตลาดขนมหวานสำเร็จรูปของไทยในปี 2551 มีมูลค่าตลาดรวมในประเทศกว่า 10,000 ล้านบาท

เนื่องจากปัจจุบันคนไทยบริโภคขนมหวานในอัตราต่ำคือประมาณ 700 กรัมต่อคนต่อปีเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น อาทิ สหรัฐฯเฉลี่ยที่ 14 กิโลกรัมต่อคนต่อปี อังกฤษเฉลี่ยที่ 10 กิโลกรัมต่อคนต่อปี และเวียดนามเฉลี่ยที่ 2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ดังนั้น ตลาดขนมหวานสำเร็จรูปของไทยจึงยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ชะลอตัว ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายและเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์มากขึ้น ผู้ผลิตจึงมองหาช่องทางทำการตลาด พร้อมทั้งปรับตัวรองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของผู้บริโภค

สถานการณ์ตลาดในประเทศ
ตลาดขนมหวานสำเร็จรูปของไทยในปี 2551 มีมูลค่าตลาดรวมในประเทศกว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนได้โดยประมาณเป็นกลุ่มลูกอมถึงร้อยละ 50 หมากฝรั่งและช็อคโกแลตมีสัดส่วนเท่าๆกัน คือ ร้อยละ 25 ซึ่งในทุกผลิตภัณฑ์มีมูลค่าตลาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการขยายรูปแบบผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิต ดังนี้

ลูกอม มีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ สารให้ความหวาน สารแต่งรสหรือกลิ่น และสารแต่งสี เป็นต้น ในปี 2551 มีมูลค่าตลาดรวมในประเทศประมาณ 5,000 – 6,000 ล้านบาท จากสภาพตลาดที่มีการแข่งขันสูง ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดลูกอมในระดับล่างและกลางในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาขยายตัวเพียงร้อยละ 7-8 เท่านั้น ผู้ผลิตจึงหันมาเน้นตลาดในระดับบนมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ซึ่งตลาดลูกอมแบ่งได้โดยประมาณเป็นกลุ่มลูกอมเม็ดแข็งร้อยละ 54 แยกเป็นลูกอมรีเฟรชเม้นท์ และรสผลไม้ในสัดส่วนเท่าๆกัน ลูกอมเคี้ยวนุ่มร้อยละ 25 และลูกอมอื่นๆ เช่น ลูกอมยา ร้อยละ 21 โดยลูกอมในกลุ่มรีเฟรชเม้นท์และรสผลไม้มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด และมีการออกผลิตภัณฑ์รสชาติใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง

หมากฝรั่ง หมากฝรั่งที่มีขายอยู่ทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ แบบแผ่น(Slab/Stick gum) แบบเม็ด(Coated gum) และแบบก้อน(Chunk gum) เดิมหมากฝรั่งมีคุณสมบัติเพื่อช่วยขจัดคราบอาหารที่เกาะติดฟันหลังจากการรับประทานอาหาร ลดการเกิดกลิ่นปาก เพื่อความเพลิดเพลิน และช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการพบปะผู้คน แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาส่วนผสมที่หลากหลาย จนสามารถแบ่งตามคุณสมบัติได้เป็น 4 ประเภท คือ หมากฝรั่งเพื่อลมหายใจสะอาด(สัดส่วนร้อยละ 42) หมากฝรั่งเพื่อความเพลิดเพลิน (สัดส่วนร้อยละ 30) หมากฝรั่งปราศจากน้ำตาลในกลุ่มออรัลแคร์(สัดส่วนร้อยละ 17) และหมากฝรั่งเพื่อเพิ่มความสดชื่น(สัดส่วนร้อยละ 11) โดยคาดว่าในปี 2552 ตลาดหมากฝรั่งในประเทศจะยังมีการแข่งขันรุนแรง และขยายตัวได้ที่ประมาณร้อยละ 15 จากมูลค่าตลาด 2,500-3,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหมากฝรั่งชนิดปราศจากน้ำตาลมูลค่าตลาดประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับหมากฝรั่งชนิดมีน้ำตาลที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 2,000 ล้านบาท ถือว่าน้อยกว่ามาก แต่คาดว่าหมากฝรั่งในกลุ่มปราศจากน้ำตาลนี้จะเติบโตได้ถึงประมาณร้อยละ 7-8 ซึ่งผู้ผลิตก็ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเพื่อทำความสะอาดฟันและช่องปาก มีส่วนผสมของสารไซลิทอล ซึ่งเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ลดการสะสมของคราบแบคทีเรีย และลดการเกิดคราบหินปูน ซึ่งเป็นสาเหตุของฟันผุ รวมถึงผสมสารเคลือบฟัน จึงสามารถตอบสนองผู้บริโภคตามกระแสใส่ใจสุขภาพในปัจจุบัน อีกทั้ง การเน้นกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาด ทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์มากขึ้น โดยดึงนักร้อง/นักแสดงที่มีชื่อเสียงมาเป็นพรีเซนเตอร์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และออกงานโฆษณาผ่านสื่อต่างๆอย่างต่อเนื่อง

ช็อคโกแลต มูลค่าตลาดรวมในประเทศอยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราขยายตัวกว่าร้อยละ 20 และที่ผ่านมาคนไทยยังคงมีอัตราการบริโภคช็อคโกแลตที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในยุโรป และญี่ปุ่น จึงมองว่าตลาดช็อคโกแลตของไทยยังสามารถขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งปัจจุบันรูปแบบผลิตภัณฑ์ช็อคโกแลตของไทยได้ปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงไป ที่หันมานิยมช็อคโกแลต แบบพอดีคำหรือปราศจากน้ำตาล ผู้ผลิตหลายรายจึงเริ่มทำการตลาดในผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มากขึ้น และผลจากการเปิดเสรีทางการค้าของไทยตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาช็อคโกแลตนำเข้ามีราคาถูกลง และมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกซื้อหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะช็อคโกแลตราคาถูกจากประเทศมาเลเซียและจีน เป็นการกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าในปี 2552 ตลาดช็อคโกแลตของไทยยังคงขยายตัวได้ที่ประมาณร้อยละ 20 ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว
ภาพรวมขนมหวานสำเร็จรูปยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องสวนกระแสการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตที่มีความหลากหลายในทุกระดับราคาสินค้า แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ผู้ผลิตต้องเผชิญ และเตรียมพร้อมรับมือ เพื่อปรับตัวอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนี้

การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้และกำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวตาม ดังนั้น ในการเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ผู้บริโภคก็จะไตร่ตรองมากขึ้น โดยเฉพาะขนมหวานที่เป็นอาหารทานเล่น ก็อาจเป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากกว่าสินค้าจำเป็นประเภทอื่นๆ ดังนั้น ผู้ผลิตควรผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มองหาช่องทางทำการตลาด เน้นให้ผู้บริโภคเห็นและเข้าใจถึงส่วนผสมที่มีประโยชน์ในตัวผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และจูงใจผู้บริโภค

ตลาดมีการแข่งขันสูงขึ้น จากสินค้านำเข้าภายใต้ข้อตกลง FTA หลังจากไทยได้เปิดเสรีทางการค้ากับประเทศในภูมิภาคอาเซียน(AFTA) และประเทศต่างๆ อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย และญี่ปุ่น ส่งผลให้ภาษีสินค้านำเข้าบางรายการลดลงจากเดิมร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 0-5 โดยเฉพาะการนำเข้าผลิตภัณฑ์ขนมหวานในตลาดระดับกลางถึงระดับล่างจาก มาเลเซีย อินโดนีเซีย และจีน เป็นต้น ส่งผลกระทบต่อตลาดขนมหวานสำเร็จรูปของไทย ดังนี้

ด้านผู้บริโภค : มีสินค้าหลากหลายให้เลือกซื้อ เนื่องจากการเปิดเสรีส่งผลให้มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์ขนมหวานจากต่างประเทศที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งตรายี่ห้อ ในหลายระดับราคา โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ระดับล่าง จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีโอกาสเข้าถึงตัวสินค้ามากขึ้น

ด้านผู้ผลิตในประเทศ : ปรับตัวรับตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรงขึ้น ผลจากการเปิดเสรีดังกล่าวทำให้ผลิตภัณฑ์ขนมหวานราคาถูกจากประเทศมาเลเซีย จีน และอินโดนีเซีย เข้ามาตีตลาดระดับกลางถึงระดับล่างของไทย โดยเฉพาะในส่วนของผลิตภัณฑ์ช็อคโกแลตและลูกอม ดังนั้น ตลาดขนมหวานของไทยจึงมีแนวโน้มปรับตัวสู่ตลาดในระดับบนมากขึ้น เนื่องจากตลาดในกลุ่มนี้ยังมีโอกาสขยายตัวสูง บรรดาผู้ผลิตจึงหันมาเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองผู้บริโภคในกลุ่มนี้ ทั้งวัยทำงานและผู้รักสุขภาพ รวมถึงการพัฒนาสินค้าเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศด้วย วัตถุดิบนำเข้ามีต้นทุนถูกลง ยกตัวอย่างเช่น วัตถุดิบจำเป็นในการผลิตช็อคโกแลต คือ ผงโกโก้ ที่มีความจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งกว่าร้อยละ 50 ของการนำเข้าผงโกโก้ทั้งหมดนั้น ไทยนำเข้าจากประเทศมาเลเซีย จึงได้รับอานิสงส์จากการลดภาษีนำเข้า ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตถูกลง ส่งผลดีต่อผู้ผลิตช็อคโกแลตในประเทศ เป็นต้น

พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตามกระแสรักสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานทั้งชายและหญิงที่ห่วงใยในสุขภาพและใส่ใจรูปร่าง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพกลายเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าขนมหวานสำเร็จรูปประเภทนี้ยังคงมีสัดส่วนไม่มากนัก แต่ด้วยกระแสความนิยม ประกอบกับแนวโน้มการขยายตัว จึงเป็นโอกาสที่ผู้ผลิตจะหันมาขยายผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับกลุ่มนี้มากขึ้น เพื่อชดเชยกับการชะลอตัวของยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้น้ำตาลเป็นส่วนผสม เช่น ผลิตภัณฑ์หมากฝรั่งในประเทศที่มีสัดส่วนหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาลที่ประมาณร้อยละ 20 จากมูลค่าตลาดหมากฝรั่งรวม และคาดว่าในปีนี้น่าจะมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 7-8 จากปีที่แล้ว

ตลาดต่างประเทศ
ขนมหวานทำจากน้ำตาลและหมากฝรั่ง : ด้านการส่งออก ช่วง 7 เดือนปี 2552
มีมูลค่า 2,475.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 9.6 ส่วนทั้งปี 2551 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 46.7 ตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น กัมพูชา สหรัฐฯ มาเลเซีย และพม่า ตามลำดับ ด้านการนำเข้า ช่วง 7 เดือนปี 2552 มีมูลค่า 789.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.6 ส่วนทั้งปี 2551 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 34.6 โดยตลาดนำเข้าสำคัญ ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จีน และมาเลเซีย ตามลำดับ

ช็อคโกแลต : ด้านการส่งออก ช่วง 7 เดือนปี 2552 มีมูลค่า 264.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 36.9 ส่วนทั้งปี 2551 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 48.8 โดยตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น มาเลเซีย พม่า ลาว และกัมพูชา ตามลำดับ ด้านการนำเข้า ช่วง 7 เดือนปี 2552 มีมูลค่า 869.7 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.9 ส่วนทั้งปี 2551 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 30.4 โดยตลาดนำเข้าสำคัญ ได้แก่ บราซิล มาเลเซีย อินโดนีเซีย สหรัฐฯ และจีน ตามลำดับ

คาดการณ์การส่งออกผลิตภัณฑ์ขนมหวานสำเร็จรูปของไทยทั้งปี 2552 ในส่วนของขนมหวานทำจากน้ำตาลและหมากฝรั่งน่าจะมีอัตราขยายตัวประมาณร้อยละ 9-10 การนำเข้าขยายตัวประมาณร้อยละ 14-17 จากปีที่แล้ว ส่วนช็อคโกแล็ตและขนมที่มีส่วนผสมของช็อคโกแล็ตคาดว่าในปีนี้น่าจะมีมูลค่าการส่งออกขยายตัวมากกว่าร้อยละ 20 แต่มูลค่าการนำเข้าคาดว่าจะหดตัวลงประมาณร้อยละ 10-12 จากปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากผลิตภัณฑ์ในประเทศได้มีการพัฒนาคุณภาพใกล้เคียงของต่างประเทศมากขึ้น ความต้องการนำเข้าจึงชะลอตัวลง แต่ทั้งนี้ยังคงมีปัจจัยหนุนทั้งด้านการส่งออกและนำเข้าจากงานเทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่ในช่วงปลายปี ที่อาจส่งผลให้มูลค่าการค้าขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าทั้งปี

จับตาราคาน้ำตาลตลาดโลกผันผวน…ปัจจัยกระทบต้นทุนการผลิตที่สำคัญ
น้ำตาลเป็นส่วนผสมที่สำคัญในการผลิตขนมหวาน โดยเฉพาะลูกอม และช็อคโกแลตที่ใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบถึงประมาณร้อยละ 50 เนื่องจากระดับราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 2551 จนอยู่ที่ระดับ 18.57 เซนต์ต่อปอนด์ ณ เดือนกรกฎาคม 2552 และคาดว่ายังคงมีแนวโน้มทรงตัวสูงต่อเนื่อง จากการที่หลายประเทศปรับลดปริมาณการปลูกอ้อย และประเทศนำเข้าน้ำตาลรายใหญ่ของโลก อาทิ จีน อินเดีย และปากีสถาน ยังคงมีความต้องการบริโภคขยายตัวต่อเนื่อง ประกอบกับที่หลายประเทศมีนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ได้มีการนำอ้อยและกากน้ำตาลไปใช้เพื่อผลิตเป็นเอทานอลมากขึ้น จึงมีแนวโน้มว่าอาจมีการขาดแคลนปริมาณน้ำตาลในตลาดโลก ส่งผลถึงระดับราคาน้ำตาลผันผวน กระทบต่อต้นทุนการผลิตขนมหวานสำเร็จรูป โดยเฉพาะกรณีผู้ผลิตขนมหวานเพื่อส่งออกที่ใช้น้ำตาลนำเข้าเป็นวัตถุดิบอยู่เดิมย่อมได้รับผลกระทบในทันที แต่ในกรณีผู้ผลิตที่ใช้น้ำตาลโควต้าในประเทศ อาจยังไม่ได้รับผลกระทบในระยะสั้น แต่ในระยะยาวถ้าหากแนวโน้มราคาน้ำตาลในตลาดโลกยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงพาณิชย์อาจมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาน้ำตาลภายในประเทศ เพื่อรักษาระดับราคาให้มีเสถียรภาพสอดคล้องกับราคาน้ำตาลในตลาดโลก ก็จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตขนมหวานอย่างแน่นอน ในขณะที่ตลาดขนมหวานมีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง การปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ขนมหวานตามต้นทุนจึงเป็นไปได้ยาก ผู้ผลิตในธุรกิจขนมหวานสำเร็จรูปจึงต้องปรับกลยุทธ์รับมือทั้งด้านการแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น และต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย

สรุป
ผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย โดยจะพิจารณาในการเลือกซื้อสินค้ามากขึ้น ประกอบกับกระแสรักสุขภาพและห่วงใยรูปร่างในปัจจุบัน ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคให้ปรับเปลี่ยนการเลือกรับประทานอาหาร และเนื่องจากขนมหวานสำเร็จรูป(Confectionery) ซึ่งประกอบด้วย ลูกอม หมากฝรั่ง และช็อคโกแลต เป็นอาหารทานเล่น ที่บริโภคเพียงเพื่อความชื่นชอบในรสชาติ เพื่อคลายเครียด และสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลิน ที่สำคัญยังมีส่วนผสมของน้ำตาลในสัดส่วนที่สูง ผู้บริโภคจึงเลือกที่จะเลี่ยงการบริโภคในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แต่จากอัตราการบริโภคขนมหวานสำเร็จรูปของคนไทยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 700 กรัมต่อคนต่อปีเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ อังกฤษ และเวียดนาม เฉลี่ยที่ 14, 10 และ 2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี จึงมองว่าในอนาคตตลาดขนมหวานสำเร็จรูปของไทยยังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้อีกมาก โดยคาดว่าในปี 2552 ตลาดลูกอม หมากฝรั่ง และช็อคโกแลต ยังคงขยายตัวได้ที่ประมาณร้อยละ 7-8 , 15 และ 20 ตามลำดับ จากมูลค่าตลาดขนมหวานสำเร็จรูปรวมในประเทศที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดลูกอมร้อยละ 50 หมากฝรั่งและช็อคโกแลตสัดส่วนเท่ากันที่ร้อยละ 25

จากภาวะการชะลอตัวของกำลังซื้อผู้บริโภค การแข่งขันของตลาดที่ค่อนข้างรุนแรงมากขึ้น เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งในภาวะกำลังซื้อชะลอตัว และส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ไทยได้เปิดเสรีทางการค้ากับหลายประเทศ ทำให้มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์ขนมหวานสำเร็จรูปที่หลากหลายและมีราคาถูกเข้ามาในไทยมากขึ้น อีกทั้ง กระแสห่วงใยสุขภาพ ประกอบกับปัจจัยทางด้าน ต้นทุนน้ำตาลที่อาจปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ผู้ผลิตจึงจำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพและกระบวนการผลิต ทั้งเพื่อการรักษากลุ่มลูกค้าเดิมเช่นกลุ่มเด็กที่ชื่นชอบขนม สีสันและความสนุกเพลิดเพลิน รวมถึงปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย เพื่อรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ขยายช่องทางทางการตลาด เกาะกระแสผู้บริโภคที่รักสุขภาพ เนื่องจากมีแนวโน้มว่าตลาดในกลุ่มนี้จะขยายตัวมากขึ้น ดังเช่น ตลาดขนมหวานสำเร็จรูปของสหรัฐฯ ที่มีการเพิ่มส่วนผสมสมุนไพร ผลไม้ เครื่องเทศ ในช็อคโกแลตและลูกอม เช่น มะม่วง เปลือกส้ม ขิง พริก ซินนามอน และสับปะรด เป็นต้น ซึ่งให้รสชาติที่แปลกใหม่ และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อีกทั้ง ไทยเองยังมีความพร้อมในด้านวัตถุดิบผลไม้ สมุนไพร และเครื่องเทศอยู่แล้ว นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังควรเน้นการทำการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคได้รู้จักและทราบถึงคุณสมบัติและประโยชน์ของส่วนผสมใหม่ๆ ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัย รักษาคุณภาพของสินค้า พกพาสะดวก ง่ายต่อการใช้งาน เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อของผู้บริโภคในภาวะที่เศรษฐกิจยังคงชะลอตัว รวมถึงขยายตลาดสู่ประเทศในแถบเพื่อนบ้าน อาทิ พม่า ลาว กัมพูชา เนื่องจากเป็นตลาดส่งออกขนมหวานสำเร็จรูปของไทยในอันดับต้นๆ และด้วยคุณภาพขนมหวานของไทย มาตรฐานด้านรสชาติ บรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัย และมีราคาไม่แพง จึงเป็นไปได้ว่าขนมหวานสำเร็จรูปของไทยจะเป็นที่นิยมในตลาดขนมหวานของประเทศเพื่อนบ้าน และมีโอกาสที่ตลาดนี้จะเติบโตได้อีกมาก นอกจากนี้ ยังควรมองหาลู่ทางขยายตลาดส่งออกสู่ตลาดใหม่ๆ เช่น ประเทศอินเดียที่มีแนวโน้มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง อีกทั้ง ชาวอินเดียยังมีอัตราการบริโภคช็อคโกแลตต่อคนต่ำมากอยู่ที่ประมาณ 100 กรัมต่อปีเท่านั้น