บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีอัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 ร้อยละ 18.3 ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 17.5 การแบ่งปันกำไรสุทธิ ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ในไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 742 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 3.23 บาท เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 ซึ่งมีความสามารถในการทำกำไรอยู่ที่ 715 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 3.11 บาท
ปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ภายในประเทศได้ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 3 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจและมีการใช้จ่ายในการบริโภคมากขึ้นในขณะที่ปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์รวมในช่วง 9 เดือนแรกถึงเดือนกันยายน 2552 ได้ปรับตัวลดลงร้อยละ 6 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรก
ในช่วงไตรมาสที่ 3ของปี 2552 บริษัทฯ มีรายได้สุทธิรวมจากการขาย 4,915 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว ซึ่งมีรายได้สุทธิรวมจากการขาย 5,144 ล้านบาทอยู่ที่ร้อยละ 4.4 และมีรายได้สุทธิรวมจากการขายของบริษัทฯ ในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 14,963 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่ารายได้สุทธิรวมจากการขายของบริษัทฯ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 16,068 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.9
ทั้งนี้ จากความมุ่งมั่นของบริษัทฯที่จะลดค่าใช้จ่ายคงที่ในการดำเนินงานและการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตทำให้อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงาน อยู่ที่ร้อยละ 20.5 ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงาน อยู่ที่ร้อยละ 20.8 การแบ่งปันกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 2,242 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 9.75 บาท เปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 2,497 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 10.86 บาท
ในขณะเดียวกัน การปรับลดเงินลงทุนหมุนเวียนสุทธิอย่างมีนัยสำคัญได้ช่วยให้กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 31.4 หรือเท่ากับ 2,979 ล้านบาทในช่วงระยะเวลา 9 เดือนแรกถึงสิ้นเดือน กันยายน 2552 เปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ 2,267 ล้านบาท และบริษัทฯ ยังได้ปรับเพิ่มอัตราส่วนกระแสเงินสดเป็นร้อยละ 19.9 เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 14.1
ในอนาคต บริษัท ฯ ยังคงระมัดระวังในแนวทางการเจริญเติบโตในระยะสั้น ซึ่งคาดการณ์ว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ภายในประเทศในไตรมาสที่ 4 ปี 2552 จะยังคงเท่าที่ และปรับตัวขึ้นเล็กน้อยประมาณร้อยละ 2 ในปี 2553 ทั้งนี้ บริษัท ฯ มีความเห็นว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจช่วงที่ตกต่ำได้ผ่านพ้นไปแล้ว และภาคอุตสาหกรรมโดยรวมกำลังอยู่ในช่วงปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น
เนื่องในโอกาสที่ ปูนซีเมนต์นครหลวงครบรอบ 40 ปีในปีนี้ บริษัทฯ มีความมุ่งหวังที่จะร่วมเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมกับลูกค้า คู่ค้า ชุมชน ตลอดจนพนักงานของบริษัทฯ ด้วยความมุ่งมั่นรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นรากฐานที่ดีสู่อนาคต