“ดอกกุหลาบ” สินค้าที่เป็นสัญลักษณ์สำหรับวันวาเลนไทน์ของทุกปี ซึ่งในปีนี้คาดว่า การซื้อขายดอกกุหลาบจะยังคงคึกคัก และเป็นช่วงที่ดอกกุหลาบมีราคาสูงที่สุดในรอบปี ถึงแม้ว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ทำการสำรวจพบว่า ในปีนี้มีแนวโน้มว่าราคาดอกกุหลาบจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการซื้อขายดอกกุหลาบในช่วงวันวาเลนไทน์ เนื่องจากบรรดาผู้ที่ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์นั้นก็ยังคงเลือกซื้อหาดอกกุหลาบเพื่อมอบให้แก่กัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ทำการประเมินราคาดอกกุหลาบทั้งปี พบว่าราคาดอกกุหลาบนั้นสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เนื่องจาก ตรงกับช่วงเทศกาลวันสำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่มีวันวาเลนไทน์ ราคาดอกกุหลาบจะปรับสูงขึ้นมากกว่าช่วงปกติ จากนั้นราคาดอกกุหลาบก็จะขยับสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม เนื่องจากช่วงนั้นจะมีการรับปริญญาของมหาวิทยาลัยต่างๆ ทำให้มีความต้องการดอกไม้สูง ในขณะที่ในช่วงเดือนมีนาคมจนถึงเดือนมิถุนายน และช่วงเดือนกันยายนจนถึงตุลาคมนั้น ความต้องการดอกกุหลาบมีไม่มากนัก ราคาของดอกกุหลาบจะคงที่ นอกจากนี้ ราคาของดอกกุหลาบยังขึ้นอยู่กับเกรดของดอกกุหลาบด้วย กล่าวคือ การคัดเกรดดอกกุหลาบจะใช้ความยาวก้านดอก (หน่วยเป็นเซนติเมตร) เป็นเกณฑ์ โดยจะทำการวัดจากปลายก้านดอกถึงปลายยอดดอก
วาเลนไทน์ปี ‘53…ราคาดอกกุหลาบพุ่งประมาณ 3 เท่าตัว
“ดอกกุหลาบ” ที่ขายดีที่สุดในช่วงวันวาเลนไทน์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นดอกกุหลาบสายพันธุ์ แกรนด์กาล่า คือ มีสีแดงสด ดอกใหญ่ ก้านตรง และไม่มีหนาม รองลงมาคือ ดอกกุหลาบขนาดเล็กซึ่งนิยมนำมาจัดเป็นช่อต่าง ๆ โดยดอกกุหลาบที่ขายในประเทศไทยมาจาก 3 แหล่งหลักๆ คือ ดอกกุหลาบที่ปลูกภายในประเทศ (จากเชียงใหม่ และอำเภอพบพระ จ. ตาก) ดอกกุหลาบที่นำเข้ามาจากจีน ซึ่งมีคุณภาพ และดอกใหญ่ และดอกกุหลาบจากเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ คุณภาพดี แข็งแรง และคงทนกว่าดอกกุหลาบจากจีน และไทย อีกทั้งยังมีราคาแพงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับดอกกุหลาบจากแหล่งอื่น ๆ อีกด้วย
โดยปกติแล้ว ช่วงวันวาเลนไทน์ของทุก ๆ ปี ราคาของดอกกุหลาบแต่ละชนิดจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงปกติมาก เช่น อาจเพิ่มขึ้นถึง 3-4 เท่า แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเก็บรวบรวมราคาดอกกุหลาบ พบว่า ในช่วงวันวาเลนไทน์ราคาดอกกุหลาบมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1-2 เท่าตัวจากช่วงปกติ เนื่องจาก มีการนำเข้าดอกกุหลาบจากจีน ซึ่งมีคุณภาพที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับดอกกุหลาบเกรดเอของไทย หรือเรียกกันว่ากุหลาบเชียงใหม่ (ก้านยาว 80-90 ซม.) นอกจากนี้ จีนยังสามารถผลิตได้ในปริมาณที่มากพอกับความต้องการ ในขณะที่ไทยยังผลิตดอกกุหลาบเกรดเอได้ในจำนวนที่ไม่มากนัก ส่งผลให้ในระยะหลังมานี้ ความต้องการดอกกุหลาบจากจีนจึงมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ราคาในช่วงวันวาเลนไทน์ไม่เพิ่มขึ้นถึง 3-4 เท่า เหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา
สำหรับปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสำรวจพบว่า บรรดาผู้ที่ต้องการมอบดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์จะตั้งงบประมาณในการซื้อดอกกุหลาบเฉลี่ย 257 บาทต่อคน หรือคาดว่า จะสร้างเม็ดเงินสะพัดให้กับร้านขายดอกกุหลาบทั่วกรุงเทพฯในช่วงวันวาเลนไทน์ปีนี้ประมาณ 240 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งค่าใช้จ่ายในการซื้อดอกไม้ในวันวาเลนไทน์นั้นแตกต่างกันอย่างมาก เมื่อแยกกลุ่มลูกค้าที่ซื้อให้เพื่อนและซื้อให้แฟน รวมทั้งยังแตกต่างกันในกรณีที่ซื้อเป็นดอกเดี่ยวโดยไม่จัดเป็นช่อ ซื้อดอกเดี่ยวและจัดเป็นช่อ และซื้อหลายดอกและจัดเป็นช่อ
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ทำการสอบถามบรรดาพ่อค้า แม่ค้าทั้งร้านค้าส่ง และร้านจัดดอกไม้ในย่านปากคลองตลาดพบว่า ในปีนี้ ราคาดอกกุหลาบน่าจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่าตัว ซึ่งสามารถแยกราคาดอกกุหลาบแต่ละประเภท ดังนี้
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาดอกกุหลาบในช่วง วันวาเลนไทน์ปีนี้มีการปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจาก สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ปลูกดอกกุหลาบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน และเนเธอร์แลนด์ ต่างก็ต้องเจอกับสภาพอากาศที่หนาวจัด ส่งผลให้ต้นกุหลาบบางส่วนไม่ออกดอก ผลผลิตไม่ค่อยมีคุณภาพ เกิดความเสียหาย และมีปริมาณที่ลดลง โดยแยกพิจารณาตามประเภทของดอกกุหลาบได้ดังนี้
กุหลาบเนเธอร์แลนด์ ในปีนี้ ราคาจะเพิ่มสูงขึ้นมากประมาณ 3 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงปกติ หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 180-230 และบรรดาพ่อค้า แม่ค้า ส่วนใหญ่จะทำการนำเข้าดอกกุหลาบในปริมาณที่ไม่มากเหมือนปีก่อน ๆ เนื่องจากมีราคาแพง และขายได้ยาก โดยส่วนใหญ่จะนำเข้ามาตามจำนวนที่ลูกค้าได้ทำการสั่งจองไว้ล่วงหน้าเท่านั้น และลูกค้าส่วนใหญ่จะนิยมซื้อเพียงดอกเดียว
กุหลาบจีน (กุหลาบคุนหมิง) ในปีนี้ ราคาจะเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 3 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงปกติ หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 200-230 และบรรดาพ่อค้า แม่ค้า ส่วนใหญ่จะหันไปนำเข้าดอกกุหลาบคุนหมิงกันมากขึ้น เนื่องจาก ดอกใหญ่ สวย แข็งแรง และขายได้ง่ายกว่ากุหลาบจากเนเธอร์แลนด์ อีกทั้งราคายังถูกกว่ามาก สามารถขายได้ทั้งในลักษณะของดอกเดียว หรือว่าจัดทำเป็นช่อ
กุหลาบเกรดเอ (กุหลาบเชียงใหม่) ในปีนี้ ราคาจะแพงขึ้นกว่าช่วงปกติประมาณ 2-3 เท่าตัว หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 130-230 เนื่องจาก ผลผลิตมีน้อย แต่ความต้องการมีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรสามารถขายได้ในราคาสูงขึ้นมาก และบรรดาพ่อค้า แม่ค้าส่วนใหญ่ก็จะนิยมขายในลักษณะของการนำมาจัดทำเป็นช่อ ทั้งช่อเล็ก และช่อใหญ่ ซึ่งมีหลากหลายราคาให้ลูกค้าเลือกซื้อกัน
กุหลาบเกรดเอ (กุหลาบจากอำเภอพบพระ) ในปีนี้ ราคาจะแพงขึ้นกว่าปกติประมาณ 3-4 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงปกติ หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 200-400 ซึ่งในปีนี้ยอดการสั่งจองกุหลาบพบพระมีมากขึ้น ส่งผลให้ราคาสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว และในส่วนของบรรดาพ่อค้า แม่ค้าจะนิยมสั่งมาขายในลักษณะของการจัดทำเป็นช่อ และนิยมขายเป็นมัด ๆ ละ 50 ดอก เพื่อให้ลูกค้านำไปจัดทำช่อเอง
บทสรุป
วันวาเลนไทน์ปี 2553 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า “ดอกกุหลาบ” ยังคงเป็นหนึ่งในสินค้ายอดฮิตที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเหมือนเช่นทุก ๆ ปี ส่งผลให้ราคาดอกกุหลาบแต่ละประเภทปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามเทศกาล สำหรับในปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ราคาดอกกุหลาบในช่วง วันวาเลนไทน์น่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงปกติประมาณ 3 เท่าตัว โดยอาจสร้างเม็ดเงินสะพัดให้แก่ร้านขายดอกกุหลาบทั่วกรุงเทพฯในช่วงวันวาเลนไทน์ปีนี้ประมาณ 240 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20.0 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจาก ในปีนี้มีสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน สร้างความเสียหายต่อผลผลิต ขณะที่ความต้องการดอกกุหลาบในช่วงวาเลนไทน์ปีนี้ยังคงเพิ่มขึ้นมากไม่ต่างจากปีก่อน ๆ อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ถึงแม้ราคาดอกกุหลาบในปีนี้จะเพิ่มสูงขึ้นมากเพียงใด แต่ความต้องการซื้อดอกกุหลาบในช่วงวันวาเลนไทน์ของผู้บริโภคยังคงเป็นที่นิยม เพราะ “ดอกกุหลาบ” ถือเป็นสัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ และใช้แสดงถึงความรักนั่นเอง