งานมหกรรมโลก ณ นครเซี่ยงไฮ้ 2553 …ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเซี่ยงไฮ้: โอกาสทางธุรกิจของไทย

งานมหกรรมโลก (World Expo) ปี 2553 จะจัดขึ้น ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 31 ตุลาคม 2553 โดยใช้พื้นที่การจัดงานประมาณ 5.28 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมบริเวณสองฝั่งแม่น้ำหวงผู่ มีผู้ตอบรับเข้าร่วมงานทั้งสิ้น 192 ประเทศ และ 50 องค์กรระหว่างประเทศ งานจัดขึ้นตามแนวคิด Better City, Better Life (เมืองที่ดีกว่า เพื่อชีวิตที่ดีกว่า) ผู้จัดคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานสูงถึง 70 ล้านคน ทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติ ทั้งนี้ ในงานดังกล่าวทางการจีนได้ใช้จ่ายงบประมาณทั้งสิ้นกว่า 3 แสนล้านหยวน

การจัดงานมหกรรมโลก ณ นครเซี่ยงไฮ้ในครั้งนี้ ประเทศไทยได้รับเกียรติเข้าร่วมงาน โดยกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดงานแสดงนิทรรศการและการแสดงหมุนเวียนภายใต้แนวคิดในหัวข้อเรื่อง “Thainess: Sustainable Ways of Life: ความเป็นไทย วิถีแห่งความยั่งยืนของชีวิต” นอกจากนั้นกระทรวงพาณิชย์ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้เข้าร่วมแสดงสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ 3 กลุ่มใหญ่ ประกอบด้วยสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าต่อเนื่องเพื่อการผลิต สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าบริการ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า ประเด็นที่น่าสนใจคือ การเข้าร่วมงานมหกรรมโลก ณ มหานครเซี่ยงไฮ้ นอกจากเป็นการเชื่อมโยงสัมพันธไมตรีระหว่างสองประเทศ และส่งเสริมเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นในระดับโลกแล้ว ยังเป็นการเปิดช่องทางการขยายธุรกิจของผู้ประกอบการไทย ทั้งในด้านการส่งออกและการหาพันธมิตรทางธุรกิจในสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยเฉพาะในมหานครเซี่ยงไฮ้ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้สรุปภาวะเศรษฐกิจของมหานครเซี่ยงไฮ้ สถานการณ์ของธุรกิจค้าปลีกและการท่องเที่ยวในมหานครเซี่ยงไฮ้ แนวโน้มการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงโอกาสการลงทุนของผู้ประกอบการไทย ดังนี้

ภาพรวมเศรษฐกิจของมหานครเซี่ยงไฮ้
มหานครเซี่ยงไฮ้มีบทบาทสำคัญในพื้นที่เศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำแยงซี โดยถือเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าวทั้งในด้านการค้า การเงินการธนาคาร การท่องเที่ยว รวมถึงเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งครบวงจรทั้งทางเรือ ทางบกและอากาศ โดยรัฐบาลกลางของจีนมีแผนที่จะพัฒนามหานครเซี่ยงไฮ้ให้มีความเจริญและเป็นเมืองสากลที่มีความทันสมัย ยกระดับมหานครเซี่ยงไฮ้ให้เป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์ความร่วมมือในระดับภูมิภาคตะวันออกของกลุ่มเศรษฐกิจบริเวณดินแดนปากแม่น้ำแยงซีเกียง ส่งผลให้ปัจจุบันมหานครเซี่ยงไฮ้มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและน่าจับตามอง

ในช่วงปี 2547-2552 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจของมหานครเซี่ยงไฮ้ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 14.3 ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ดีในปี 2551 และ 2552 ภาวะเศรษฐกิจของมหานครเซี่ยงไฮ้ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมีทิศทางลดลงจากปี 2550 โดยในปี 2551 เซี่ยงไฮ้มีมูลค่า GDP ราว 1,370 ล้านหยวน เติบโตร้อยละ 12.4 (YoY) ลดลงจากปี 2550 ซึ่งมีอัตราการเติบโตร้อยละ 17.6 (YoY) และปี 2552 วิกฤตเศรษฐกิจโลกยังคงส่งผลต่อเศรษฐกิจเซี่ยงไฮ้ ทำให้ GDP มีมูลค่าราว 1,490 ล้านหยวน เติบโตชะลอเหลือร้อยละ 8.8 (YoY) อย่างไรก็ดี อัตราการเติบโตนี้นับว่าสูงกว่าอัตราการเติบโตของ GDP ทั้งประเทศในปีเดียวกันซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 8.7 (YoY)

ในปี 2552 ภาคบริการมีมูลค่เป็นสัดส่วนร้อยละ 59.4 ของภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ซึ่งนับว่ามากที่สุดในบรรดาภาคเศรษฐกิจทั้งหมด อัตราการเติบโตของภาคบริการอยู่ที่ร้อยละ 12.6 (YoY) สูงกว่าภาคอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3.1 (YoY) และภาคเกษตรซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 1.1 (YoY) สาขาการบริการที่มีมูลค่ามากอันดับต้นๆ นอกจากสาขาการเงินและอสังหาริมทรัพย์แล้ว สาขาค้าปลีกและการท่องเที่ยวยังเป็นสาขาการบริการที่สำคัญของมหานครเซี่ยงไฮ้เช่นกัน

ตลาดค้าปลีกในมหานครเซี่ยงไฮ้ขยายตัวดีขึ้นในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้
มหานครเซี่ยงไฮ้ถือเป็นตลาดบริโภคที่ใหญ่ที่สุดของจีน โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจค้าปลีกในเซี่ยงไฮ้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มหานครเซี่ยงไฮ้เป็นตลาดเป้าหมายสำคัญของบริษัทค้าปลีกต่างชาติจากทั่วโลก ปัจจุบันมีบริษัทค้าปลีกต่างชาติหลายรายเข้ามาลงทุนในมหานครเซี่ยงไฮ้ อาทิ ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนระบุว่า ในปี 2548 – 2552 มูลค่าค้าปลีกในมหานครเซี่ยงไฮ้ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 14.3 ต่อปี โดยในปี 2551 มหานครเซี่ยงไฮ้มีมูลค่าค้าปลีกทั้งสิ้น 453.7 พันล้านหยวน เติบโตเกือบร้อยละ 18 (YoY) แม้ว่าผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวรุนแรงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน เป็นสาเหตุสำคัญทำให้ในปี 2552 ธุรกิจค้าปลีกในมหานครเซี่ยงไฮ้ชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 14 (YoY) มีมูลค่าทั้งสิ้น 517.3 พันล้านหยวนก็ตาม แต่ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2553 มูลค่าการค้าปลีกก็มีทิศทางเติบโตอย่างรวดเร็วอีกครั้ง โดยมีมูลค่ารวมในทั้งสองเดือน 95.7 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.2 (YoY) ทั้งนี้สินค้าค้าปลีกที่มีสัดส่วนสูงในตลาดในปีที่ผ่านมา ได้แก่ สินค้าของใช้ทั่วไป มูลค่ารวม 229.6 พันล้านหยวน ขยายตัวร้อยละ 14.9 (YoY) และสินค้าหมวดอาหาร มูลค่ารวม 206.1 พันล้านหยวน ขยายตัวร้อยละ 14.5 (YoY)

ภาวะตลาดท่องเที่ยวในมหานครเซี่ยงไฮ้ฟื้นตัวในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้ในปีที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น จากที่หดตัวอย่างรุนแรงในปี 2551 ถึงร้อยละ 3 (YoY) โดยในปี 2552 มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 6.3 ล้านคน ลดลงร้อยละ1.8 (YoY) ถือเป็นอัตราหดตัวที่ชะลอลงจากในปี 2551 ในจำนวนนี้เป็นชาวต่างชาติ (ไม่รวมฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน) 4.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 70 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด ลดลงร้อยละ 0.6 (YoY) และชาวฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน 0.9 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 15 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.2 (YoY)

การฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้ยังมีทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่องถึงสองเดือนแรกของปีนี้ โดยในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ จำนวนนักท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก มีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมทั้งสองเดือนราว 1 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15.5 (YoY) เป็นชาวต่างชาติ (ไม่รวมฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน) 6.5 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 64 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.7 (YoY) และชาวฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน 1.4 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 13.8 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 (YoY)

นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามาในเซี่ยงไฮ้มาจากประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ สหรัฐฯ และประเทศแถบยุโรป ได้แก่ เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นต้น จากข้อมูลปี 2552 นักท่องเที่ยวใน 3 อันดับแรก มาจากประเทศญี่ปุ่น จำนวน 1.1 ล้านคน (ร้อยละ 20 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด) สหรัฐอเมริกา 5 แสนคน (ร้อยละ 9.6 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด) และเกาหลีใต้ 4.5 แสนคน (ร้อยละ 8.5 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด) นอกจากนั้นยังมาจากประเทศแคนาดา อังกฤษ ผรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลีอีกรวมแล้วราว 6.6 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 12.4 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ส่วนนักท่องเที่ยวภายในประเทศมีจำนวน 9.6 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 15.2 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกและการท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้ขยายตัวต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มของธุรกิจค้าปลีกและการท่องเที่ยวในตลาดเซี่ยงไฮ้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การเติบโตของธุรกิจค้าปลีกและการท่องเที่ยวน่าจะขยายตัวต่อเนื่องในปี 2553 โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ดังนี้

บทบาทการเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลกในมหานครเซี่ยงไฮ้ในปี 2553 ตอกย้ำให้เซี่ยงไฮ้กลายเป็นศูนย์รวมการค้าการลงทุนที่สำคัญระดับโลก ประกอบกับการเป็นเจ้าภาพงานมหกรรมโลกซึ่งกินเวลาทั้งหมด 6 เดือน ทางการจีนคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานสูงถึง 70 ล้านคน ซึ่งจะช่วยสร้างเม็ดเงินจำนวนมหาศาลให้ธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจท่องเที่ยวในมหานครเซี่ยงไฮ้

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศแกนนำสำคัญของโลกอย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรป เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติหลักของเซี่ยงไฮ้ ทำให้ในปัจจุบันหลายประเทศในกลุ่มนี้ มีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดท่องเที่ยวและธุรกิจค้าปลีก รวมถึงธุรกิจภาคบริการอื่นๆ ในมหานครเซี่ยงไฮ้มีแนวโน้มฟื้นตัวตามไปด้วย

การเติบโตของรายได้ประชากรในมหานครเซี่ยงไฮ้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากการรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2551 รายได้เฉลี่ยในเขตเมืองอยู่ที่ 26,675 หยวน ขยายตัวเกือบร้อยละ 13 (YoY) ขณะที่รายได้เฉลี่ยในเขตชนบทอยู่ที่ 11,385 หยวน ขยายตัวร้อยละ 11.3 (YoY) การขยายตัวทางรายได้ของประชากรในเซี่ยงไฮ้เป็นการช่วยเพิ่มอำนาจการบริโภคของประชากรให้ถีบตัวสูงขึ้น และยกระดับมาตรฐานการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคชาวจีนให้ดีขึ้น

โอกาสการลงทุนของผู้ประกอบการไทยในนครเซี่ยงไฮ้
สาขาของธุรกิจบริการที่นับได้ว่ามีศักยภาพในนครเซี่ยงไฮ้ นอกจากธุรกิจการเงินอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก และการท่องเที่ยวแล้ว สาขาที่มีศักยภาพสำหรับผู้ประกอบการไทยยังได้แก่ธุรกิจสปาและนวดแผนไทย และธุรกิจร้านอาหาร เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ประชาชนมีกำลังซึ้อสูงและมองหาการบริการที่ช่วยผ่อนคลายและบำบัดความเคร่งเครียดจากการทำงาน นอกจากนี้ โอกาสการลงทุนในธุรกิจภาคบริการของผู้ประกอบการไทยในมหานคร เซี่ยงไฮ้มีทิศทางการขยายตัวดีขึ้นตามปัจจัยสนับสนุนจากข้อตกลง FTA อาเซียน-จีน ซึ่งคาดว่าการเจรจาเปิดตลาดภาคบริการภายใต้ FTA อาเซียน-จีนรอบที่สองจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้ เนื้อหาของข้อตกลงดังกล่าวคาดว่าจะครอบคลุมการเปิดสาขาธุรกิจบริการทั้งหมด 12 สาขาเพิ่มเติมจากที่จีนเปิดตลาดให้ไทยก่อนหน้านี้ในรอบแรก ซึ่งรวมถึงธุรกิจการศึกษา ธุรกิจโรงพยาบาล ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจสปา ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร และธุรกิจนำเที่ยว โดยข้อตกลงดังกล่าวน่าจะส่งผลให้ธุรกิจไทยและประเทศอาเซียนอื่นๆ สามารถเข้าไปลงทุนดำเนินธุรกิจในตลาดจีนได้มากขึ้น และเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจไปยังประเทศจีนใน โดยเฉพาะสาขาธุรกิจบริการที่มีศักยภาพของไทยได้แก่ ธุรกิจสปาและนวดแผนไทย และธุรกิจร้านอาหาร เป็นต้น

ธุรกิจสปาและนวดแผนไทย เป็นธุรกิจด้านความงามและสุขภาพที่มีศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในมหานครเซี่ยงไฮ้ เนื่องจากมีจุดแข็งที่ความชำนาญและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของไทย ซึ่งผู้ประกอบการสามารถใช้เป็นจุดแข็งเพื่อดึงดูดผู้รับบริการทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในมหานครเซี่ยงไฮ้รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในมหานครเซี่ยงไฮ้ด้วย

ธุรกิจร้านอาหารไทย เป็นธุรกิจบริการที่น่าจับตามองในมหานครเซี่ยงไฮ้ เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคในนครเซี่ยงไฮ้นิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน อีกทั้งรสนิยมและพฤติกรรมของผู้บริโภคเปิดกว้างกับอิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างชาติ กอปรกับเซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางทางการค้าและธุรกิจจึงทำให้ร้านอาหารเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์เจรจาธุรกิจอีกด้วย โดยปัจจุบันมีร้านอาหารนานาชาติเปิดให้บริการมากมายในนครเซี่ยงไฮ้ อาทิ ร้านอาหารอินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รวมถึงร้านอาหารไทย ซึ่งจากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในจีน ณ นครเซี่ยงไฮ้ พบว่าปัจจุบันมีร้านอาหารไทยเปิดให้บริการในนครเซี่ยงไฮ้เกือบ 30 แห่ง

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยควรระวังปัจจัยท้าทายด้านกฎระเบียบและข้อบังคับด้านการลงทุนในมหานครเซี่ยงไฮ้ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคในการขยายธุรกิจในมหานครเซี่ยงไฮ้ ทั้งในส่วนของธุรกิจสปาและนวดแผนไทย และธุรกิจร้านอาหาร

ข้อพึงระวังสำหรับธุรกิจสปาและนวดแผนไทย: ปัจจุบันการจัดตั้งธุรกิจสปาในจีนยังมีความซับซ้อนและยุ่งยาก โดยเฉพาะปัญหาด้านบุคลากรในธุรกิจสปาและนวดแผนไทย เนื่องจากกฎหมายแรงงานของจีนมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและเคร่งครัดสำหรับแรงงานชาวต่างชาติ ทำให้ผู้ประกอบการเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการจ้างบุคลากร นอกจากนี้ บุคลากรไทยส่วนใหญ่ยังขาดความสามารถด้านการใช้ภาษาจีนรวมทั้งภาษาอังกฤษ ดังนั้น ผู้ประกอบการควรจัดอบรมด้านภาษาแก่บุคลากรของตนเพื่อให้บริการแก่ผู้รับบริการทั้งชาวจีนและต่างชาติอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อพึงระวังสำหรับธุรกิจร้านอาหาร: ผู้ประกอบการไทยต้องดำเนินการจัดตั้งร้านอาหารตามขั้นตอนที่ทางการจีนกำหนด โดยยื่นขอใบอนุญาตธุรกิจได้แก่ ใบอนุญาตประกอบกิจการร้านอาหาร ใบรับรองด้านสุขอนามัย ใบอนุญาตขอติดตั้งแก๊ส ใบอนุญาตปล่อยของเสีย เป็นต้น1 ส่วนการขอใบอนุญาตเดินทางเข้ามาทำงานของพ่อครัว/แม่ครัวไทย มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัดได้แก่ การขออนุญาตเดินทางเข้ามาทำงาน การขอใบอนุญาตทำงาน การตรวจสุขภาพ และการขึ้นทะเบียนที่อยู่ของพ่อครัว/แม่ครัว เป็นต้น ทั้งนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการดำเนินธุรกิจร้านอาหารไทยในประเทศจีนให้ประสบความสำเร็จคือ การศึกษาพฤติกรรมและรสนิยมของผู้บริโภคชาวจีนเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภค นอกจากนี้ ธุรกิจร้านอาหารในปัจจุบันมีการแข่งขันสูงขึ้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรใช้กลยุทธ์ทางการตลาดมากขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้า โดยอาจใช้เอกลักษณ์ความเป็นไทยเพื่อสร้างจุดแข็งและความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด

โดยสรุป งานมหกรรมโลก (World Expo) ปี 2553 จะจัดขึ้น ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 31 ตุลาคม 2553 การเข้าร่วมมหกรรมโลกของไทยจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจีนกับไทย และยังเปิดโอกาสการขยายธุรกิจของผู้ประกอบการไทยในประเทศจีนโดยเฉพาะในมหานครเซี่ยงไฮ้ ทั้งนี้ มหานครเซี่ยงไฮ้ถือเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า การเงินการธนาคาร การท่องเที่ยว และศูนย์กลางการขนส่งในเขตพื้นที่เศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำแยงซี

เศรษฐกิจของมหานครเซี่ยงไฮ้ในช่วงปี 2547-2552 ที่ผ่านมา ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 14.3 ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง แม้ว่าในปี 2551 และ 2552 เศรษฐกิจของมหานครเซี่ยงไฮ้จะเติบโตในอัตราชะลอลงเนื่องจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจโลกก็ตาม แต่การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจจีน และการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเซี่ยงไฮ้ ทำให้เศรษฐกิจเซี่ยงไฮ้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปี 2553 ในส่วนของ ธุรกิจค้าปลีกในเซี่ยงไฮ้ ในปี 2548 – 2552 มูลค่าค้าปลีกในมหานครเซี่ยงไฮ้ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 14.3 ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย แม้ว่าผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกทำให้ในปี 2552 การเติบโตของธุรกิจค้าปลีกในมหานครเซี่ยงไฮ้ชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 14 (YoY) จากที่เคยเติบโตในอัตราร้อยละ 17.9 (YoY) ในปี 2551 แต่ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2553 มูลค่าการค้าปลีกก็มีทิศทางเติบโตอย่างรวดเร็วอีกครั้ง โดยมีมูลค่ารวมทั้งสองเดือน 95.7 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.2 (YoY) ทั้งนี้สินค้าค้าปลีกที่มีสัดส่วนสูงในตลาดในปีที่ผ่านมา ได้แก่ สินค้าของใช้ทั่วไป และสินค้าหมวดอาหาร ในส่วนของ ธุรกิจท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้ ในปี 2552 ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในมหานครเซี่ยงไฮ้ลดลงร้อยละ 1.8 (YoY) แต่จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้มีทิศทางเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 (YoY) โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ไม่รวมฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.7 (YoY) และนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 (YoY)

สำหรับแนวโน้มของธุรกิจค้าปลีกและการท่องเที่ยวในตลาดเซี่ยงไฮ้นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การเติบโตของธุรกิจค้าปลีกและการท่องเที่ยวน่าจะขยายตัวดีขึ้นในปี 2553 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลกในมหานครเซี่ยงไฮ้ในปี 2553 ที่มีระยะเวลา 6 เดือน (พ.ค. – ต.ค.) ซึ่งหน่วยงานด้านท่องเที่ยวของเซี่ยงไฮ้คาดว่าจะมีผู้เข้าเยี่ยมชมงานถึง 70 ล้านคน ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนที่ปรับตัวดีขึ้น การขยายตัวทางรายได้ของประชากร รวมถึงปัจจัยเอื้อหนุนสำคัญจากทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกและท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจภาคบริการอื่นๆ จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในมหานครเซี่ยงไฮ้

ส่วนโอกาสการลงทุนในธุรกิจภาคบริการของผู้ประกอบการไทยในมหานครเซี่ยงไฮ้ มี ทิศทางการขยายตัวดีขึ้นตามปัจจัยสนับสนุนจากข้อตกลง FTA อาเซียน-จีน ซึ่งกำลังมีการเจรจาเปิดตลาด ภาคบริการภายใต้ FTA อาเซียน-จีนรอบที่สองที่ครอบคลุมการเปิดสาขาธุรกิจบริการทั้งหมด 12 สาขา เพิ่มเติมจากที่จีนเปิดตลาดให้ไทยก่อนหน้านี้ในรอบแรก ซึ่งรวมถึงธุรกิจการศึกษา ธุรกิจโรงพยาบาล ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจสปา ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร และธุรกิจนำเที่ยว โดยการเจรจาเปิดเสรีภาคการค้าบริการอาเซียน-จีน ดังกล่าว น่าจะส่งผลให้ธุรกิจไทยและประเทศอาเซียนอื่นๆ สามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจไปยังประเทศจีนในสาขาบริการต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจสปาและนวดแผนไทย และธุรกิจร้านอาหารซึ่งผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยควรระวังความท้าทายด้านกฎระเบียบและข้อบังคับการลงทุนเนื่องจากขั้นตอนการจัดตั้งธุรกิจที่มีความซับซ้อนและยุ่งยาก และปัญหาด้านบุคลากรของไทยที่ยังขาดความสามารถทางการใช้ภาษา