‘เพชรยูบิลลี่’ ปรับแผนตลาด เน้นราคาหลากหลาย รับความเชื่อมั่นลูกค้าฟื้น หลังปัจจัยการเมืองคลี่คลาย

“เพชรยูบิลลี่” ปรับแผนตลาด ชูกลยุทธ์สร้างความหลากหลายของระดับราคาสินค้า ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เน้นสร้างความคุ้มค่าให้กับตัวสินค้า เดินหน้าออกสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ต่อเนื่อง รับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคฟื้นในไตรมาส 3 หลังสถานการณ์การเมืองคลี่คลาย คาดตลาดกลับมาฟื้นตัวชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง มั่นใจยอดขายสิ้นปีโต 20% ได้ตามเป้าที่วางไว้

นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE ผู้จัดจำหน่ายและทำตลาดเพชรกะรัตและเครื่องประดับเพชร ภายใต้แบรนด์ “เพชรยูบิลลี่” เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ทำการปรับเปลี่ยนแผนการตลาดเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์มาโดยตลอด เนื่องจากประเมินไว้แล้วว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ใช้กลยุทธ์ในเรื่องของการสร้างความคุ้มค่ากับการจับจ่ายใช้สอย ด้วยการสร้างความหลากหลายของราคาสินค้าเพชรประดับ ผ่านการออกคอลเลคชั่นใหม่ที่ยังคงมีการนำเสนอให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงไตรมาส 2 บริษัทฯ ได้ออกคอลเลคชั่นใหม่ ได้แก่ Floriss Collection ที่เจาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบเพชรและมองหาเพชรที่มีคุณภาพในราคาที่คุ้มค่า รวมทั้งคอลเลคชั่น NEW Gen เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยสวมใส่เพชรประดับ โดยวางระดับราคาตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป พร้อมกับออกแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่จะยึดเป็นแนวทางในการทำตลาดในครึ่งปีหลังของปีนี้ด้วย

“เราปรับเปลี่ยนแผนการตลาดที่สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ทำให้เราไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางด้านการเมืองมากนัก และเชื่อว่าหลังจากที่เหตุการณ์การชุมนุมจบลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและบรรยากาศในการจับจ่ายใช้สอยจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 3 หลังจากที่ภาคเอกชนต่างออกแคมเปญการตลาด เพื่อร่วมกันสร้างบรรยากาศในการจับจ่ายใช้สอยให้กลับคืนมา” นางสาวอัญรัตน์กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน “เพชรยูบิลลี่” กล่าวด้วยว่า ขณะที่ภาพรวมของตลาดเพชรประดับและเพชรกะรัตในช่วงไตรมาส 2 อาจจะชะลอตัวไปบ้าง แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลัง บรรยากาศต่างๆ จะกลับมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งคาดว่า ภาพรวมตลาดในปีนี้ยังคงเติบโตได้อัตรา 2-3% และบริษัทฯ ยังคงมั่นใจว่าจากกลยุทธ์ตลาดที่ได้ปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับสถานการณ์ จะทำให้สามารถรักษาเป้ารายได้การเติบโตที่ 20% ไว้ได้อย่างแน่นอน