สำนักงานใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย บางซื่อ : บริษัท กระเบื้องกระดาษไทย จำกัด(บกด.) ในธุรกิจเอส ซี จี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (SCG Building Materials) ตอกย้ำศักยภาพผู้นำผลิตภัณฑ์หลังคา บอร์ด และไม้สังเคราะห์ จากไฟเบอร์ซีเมนต์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพของสินค้าเชิงนวัตกรรม และบริการแบบครบวงจรอย่างต่อเนื่องเตรียมรองรับตลาดอาคารเขียว หรือ LEED ด้วย ปัจจุบันนับเป็นกลุ่มไฟเบอร์ซิเมนต์ รายแรกและรายเดียวของประเทศที่ยกเลิกใช้ใยหิน (Asbestos) ในส่วนผสมการผลิตครบทุกผลิตภัณฑ์ พร้อมส่งผลงานจากการวิจัย และพัฒนาสินค้าเชิงนวัตกรรม ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Firm & Flex ออกวางจำหน่ายในครึ่งปีแรกทั้งใน และต่างประเทศภายใต้แบรนด์ ตราช้าง อีก 4 ผลิตภัณฑ์ คือ หลังคา ตราช้าง รุ่นลอนคู่ สีประกายมุก, ไม้พื้น ตราช้าง สมาร์ทวูด,ฝ้าฉาบเรียบ ตราช้าง สมาร์ทบอร์ด และระบบผนังเบา Cast Wall ตราช้าง สมาร์ทบอร์ด พร้อมอัดฉีดงบอีกกว่า 200 ล้านบาทเร่งกระตุ้นตลาดทั้ง Above the line และ Below the line มั่นใจครึ่งหลังปี ตลาดไฟเบอร์ซีเมนต์ยังโตต่อเนื่อง ทั้งใน และต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดในภูมิภาคเอเซีย
นายพันเทพ สุภาไชยกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กระเบื้องกระดาษไทย จำกัด เปิดเผยว่า “แม้ว่าสถานการณ์ที่ผ่านมาจะส่งผลกระทบให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัว แต่สำหรับ บกด.แล้ว ในภาพรมยังคงรักษาผลประกอบการไว้ได้ โดยแผนงานในช่วงครึ่งปีหลังปี 2553 นี้ เรายังคงยึดแนวทางการดำเนินงานตามนโยบายของ SCG Building Material คือ เน้นการนำเสนอเรื่องสินค้าและบริการ เป็น Solution แทนที่จะจำหน่ายเพียงแค่สินค้าเป็นชิ้นๆ อย่างเดียว และได้รับการตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดี เพราะลูกค้ามีความเข้าใจในสิ่งที่เรานำเสนอ และรับรู้ได้ว่าเมื่อใช้เป็น Solution รวมกัน จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการอยู่อาศัยได้มากขึ้นด้วย ซึ่งถือเป็น Value Added ที่เราเพิ่มให้กับสินค้าและหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา ซึ่งตลาดไฟเบอร์ซิเมนต์นับเป็นตลาดวัสดุก่อสร้างที่มีมูลค่ารวมสูงประมาณ 18,000 ล้านบาท ในฐานะผู้นำตลาดที่มีส่วนแบ่งประมาณ 40 % การตลาดที่มุ่งเน้นแต่ราคา ไม่น่าจะเกิดผลที่ดีในระยะยาว เพราะสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างเป็นสินค้าที่ผู้ใช้ให้ความสำคัญเรื่องความทนทาน เพราะซื้อไม่กี่ครั้งในชีวิต การนำเสนอทางเลือกใหม่ที่มีผลกระทบต่อชีวิต สุขภาพ ความสะดวก และปลอดภัยแก่ผู้บริโภค จึงเป็นแนวทางที่เราให้ความสำคัญ โดยเน้นที่คุณภาพของสินค้าและ Solution ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกที่ดีขึ้นให้ลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน บกด. มีสินค้า 3 กลุ่มหลักๆ ได้แก่
หลังคา ตราช้าง
หลังคา ตราช้าง ไอยร่า ซึ่งเป็นหลังคาเรียบที่โดดเด่น มีสไตล์เฉพาะตัว และเป็นหลังคาที่ใช้นวัตกรรมใหม่ไม่มีใยหินตัวแรกของบริษัทฯ มีให้เลือก 3 รุ่น คือ รุ่นคลาสสิค รุ่นทิมเบอร์ และรุ่นโมเดิร์น โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นตลาดกลุ่มบน
หลังคา ตราช้าง รุ่นลอนคู่ เป็นหลังคาลอนรายแรกที่อยู่คู่ประเทศไทยยาวนานมากว่า 70 ปีแล้ว และเน้น Mass Market ซึ่งเรามีจุดเด่นโดยเฉพาะ คือ มีความหนามากกว่า และไม่มีใยหิน เป็นส่วนผสม จึงใช้ Key Message ใน Campaign การสื่อสารว่า ก่อนซื้อหลังคา ให้สังเกตว่าหลังคาลอนที่ดี ต้องมีดี 3 อย่าง คือ
ดีที่ 1 หนา 5.5 มม.
ดีที่ 2 ปลอดภัย ไม่มีใยหิน
ดีที่ 3 มี “ตราช้าง”
หลังคา ตราช้าง รุ่นพรีม่า เป็นหลังคาสามลอนที่พลิ้วสวย เป็นธรมชาติ แบบแรกของประเทศไทย เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความแตกต่าง จะเป็นกลุ่ม Niche Market
บอร์ด ตราช้าง สมาร์ทบร์ด
มีลักษณะเป็นแผ่นใหญ่ ทำให้ติดตั้งได้เร็ว ใช้ได้ดีทั้งสำหรับงานฝ้า ผนัง หรืองานพื้น แล้วแต่ความหนาที่เลือกใช้ ซึ่งมีคุณสมบัติเหนียว ทน ด้วยโครงสร้างพิเศษจากเทคโนโลยี Firm & Flex ซึ่งผสานโครงสร้างของปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ตราช้าง ซิลิก้า และเส้นใยเซลลูโลสชนิดพิเศษ ผ่านกระบวนการอบไอน้ำที่อุณหภูมิและแรงดันสูง (Autoclave) จึงมั่นใจในคุณภาพที่ได้มาตรฐาน ตราช้าง ทุกแผ่น ใช้ได้ดีทั้งภายในและภายนอก ซึ่งครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายหลาย Segment เพราะเจ้าของบ้านก็เลือกใช้ได้ หรือจะใช้กับงานอาคารก็ไม่มีปัญหา
ไม้สังเคราะห์ ตราช้าง สมาร์ทวูด
มีลักษณะเป็นสินค้าที่ใช้ทดแทนไม้จริงชนิดต่างๆ เหนือกว่าไม้สังเคราะห์ทั่วไป ด้วยโครงสร้างพิเศษจากเทคโนโลยี Firm & Flex เช่นเดียวกับบอร์ด ตราช้าง สมาร์ทบอร์ด ทั้งยังให้ผิวสัมผัสที่เหมือนไม้จริง สีสวยทน ไม่ลอก ด้วยการเคลือบสีพิเศษทั้งสีรองพื้น และสีจริงจากโรงงาน ซึ่งกลุ่มเป้าหมายจะ Mass
ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มสินค้านี้ จะอยู่ภายใต้ Master Brand อย่าง “ตราช้าง” ทั้งหมด นายพันเทพ กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวทางการการพัฒนาสินค้าเชิงนวัตกรรม และการบริการรูปแบบ Total Solution ที่จะดำเนินการต่อในปีนี้ ว่า “สำหรับปีนี้ เรามี 4 ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ประกอบด้วย 3 สินค้า และ 1 ระบบ ที่ลูกค้าให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น สินค้าหลังคา ตราช้าง รุ่นลอนคู่ สีแดงประกายมุก สีสวยทน และปลอดภัย ไม่มีใยหิน ซึ่งจากที่วางตลาดเพียง 5 เดือนแรก ก็ทำยอดขายสูงสุดในกลุ่มสินค้าใหม่ ทั้งนี้เพราะผู้บริโภคหันมาใส่ใจเลือกใช้หลังคาไม่มีใยหินมากขึ้น
สินค้าไม้พื้น ตราช้าง สมาร์ทวูด ที่ให้ความรู้สึกเหมือนไม้จริง มาพร้อมสีย้อมไม้พื้นที่ทนแรงขูดขีดได้ดี และปลอดสารปรอท สินค้าฝ้าฉาบเรียบ ตราช้าง สมาร์ทบอร์ด พร้อมอุปกรณ์การติดตั้งยกชุดที่สวย เนียน ทนน้ำ ปลวกไม่กิน และ ระบบผนัง Cast Wall ตราช้าง สมาร์ทบอร์ด ที่ลดปัญหาเสียงก้องของระบบผนังเบาได้ จึงมั่นใจว่าอัตราการเติบโดยรวมของบริษัทฯ จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5-8% จากผลประกอบการปีที่ผ่านมา ประมาณ 6,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหลังคารวม 55% และบอร์ด ตราช้าง สมาร์ทบอร์ด, ไม้สังเคราะห์ ตราช้าง สมาร์ทวูด 45% จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาทั้ง 2 ไตรมาส
นอกจากนี้ นายพันเทพยังกล่าวเพิ่มเติมถึงในส่วนด้านทิศทางการลงทุนในปีนี้ของบกด.เพิ่มเติมว่า “เนื่องด้วยในช่วงต้นปี 2553 บริษัทฯ มีการขยายกำลังการผลิตมาแล้วระดับหนึ่ง เพื่อผลิตสินค้า HVA (High Value Added) และ Application ใหม่ๆ เป็นทางเลือกที่ดีให้กับลูกค้า ร่วมกับการค้นคว้าวิจัย (R&D) เรื่องความต้องการในระบบการติดตั้งแบบใหม่ๆ ให้ตอบสนองต่อการอาศัยของผู้บริโภคควบคู่กันไปด้วยไม่ว่าจะเป็น คุณสมบัติที่ดีในด้านต่างๆ เช่น ปลวกไม่กิน ทนน้ำ ทนแดด ช่วยให้บ้านเย็น และมีน้ำหนักเบา โดยคาดว่าจะมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าประเภทไฟเบอร์ซีเมนต์ที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดใน และต่างประเทศ ซึ่งสินค้าทั้ง 3 กลุ่มนี้ มีการขยายตัวดีมากโดยเฉพาะในประเทศแถบ Asean ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ SCG อยู่แล้วที่ต้องการเป็นผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียนภายในปี 2015 โดยใช้งบประมาณโดยรวมของบริษัทฯ ที่ตั้งไว้ในปีนี้ประมาณกว่า 200 ล้านบาท ในการรุกตลาด
นอกจากนี้ เรายังให้ความสนใจในเรื่องของตลาดอาคารเขียว หรือที่เรียกกันว่า LEED มาก เพราะปัจจุบันนอกจากเทคโนโลยีการสื่อสารที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้บริโภคมีการค้นคว้าหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจค่อนข้างมากแล้ว การตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น แหล่งผลิตอาหาร หรือสภาพภูมิอากาศโลก ทำให้หลายคนหันมาใส่ใจในสุขภาพของตัวเอง และสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น และเป็นแรงผลักดันที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยลดผลกระทบดังกล่าว ทั้งยังเป็นนโยบายของ SCG อยู่แล้ว ที่ต้องคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมและคุณภาพที่พักอาศัยของผู้บริโภคเป็นหลักจากงบประมาณ 880 ล้าน ในปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังได้จัดให้มี SCG Eco Value เพื่อกำหนดคุณภาพมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด เพื่อให้นอกจากแต่ละบริษัทฯ จะต้องพัฒนาสินค้าให้มีคุณสมบัติที่ดีเหมาะแก่การใช้งานในแต่ละด้านแล้ว ก็ยังต้องมีความปลอดภัยทั้งกับสิ่งแวดล้อมและกับตัวผู้บริโภคโดยตรง รวมทั้งช่วยประหยัดพลังงาน และลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติด้วย ซึ่งปัจจุบัน บกด.เอง ไม่ได้มีแค่เครื่องหมาย SCG Eco Value มาการันตีเท่านั้น ล่าสุดเรายังเป็นหลังคารายเดียวในประเทศไทยที่ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองฉลากเขียว (Green Label) รวมถึงเป็นไฟเบอร์ซิเมนต์รายแรก และรายเดียวที่พัฒนาให้ทุกผลิตภัณฑ์ทั้งหลังคา ฝ้า ผนัง พื้น และไม้สังเคราะห์ ไม่มีส่วนผสมของ ”ใยหิน” (Asbestos) ได้ก่อนการประกาศใช้กฎหมายสลากใยหินเมื่อต้นปีที่ผ่านมา จึงไม่มีความจำเป็นต้องระบุข้อความอันตรายจากใยหินไว้ในผลิตภัณฑ์และฉลาก แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณสมบัติที่ทัดเทียมเดิมอีกด้วย
ซึ่งตรงนี้ จะเป็นข้อได้เปรียบสำหรับเรามาก ผู้บริโภคก็ยิ่งเกิดความมั่นใจในการเลือกใช้งาน พร้อมยังเตรียมการพัฒนาสินค้าอีกหลากหลายรายการ เพื่อรองรับเรื่อง LEED ที่คาดว่าน่าจะกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2553 นี้เป็นต้นไป” นายพันเทพ กล่าวสรุป
อย่างไรก็ดี นายพันเทพได้ให้ความเห็นต่อกรณีผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมืองต่อตลาดวัสดุก่อสร้าง โดยคาดว่า “ในครึ่งปีหลังนี้ ตลาดวัสดุก่อสร้างวโดยรวมน่าจะซบเซากว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ และการเมือง ที่น่าจะส่งผลกระทบมา นอกจากนี้แล้ว ประเด็นเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นในกลุ่มยูโร ไม่ว่าจะเป็นประเทศกรีก หรือท่าทีของสเปน และฝรั่งเศส ก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องจับตามองว่าจะส่งผลกระทบถึงกลุ่มประเทศอื่นๆ ในยุโรปหรือภูมิภาคอื่นๆ อีกหรือไม่ ซึ่งก็ต้อง Monitor สิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างใกล้ชิดด้วย ซึ่งเรา อาศัยการติดตาม และการปรับตัวให้รวดเร็ว และยึด Customer Needs เป็นที่ตั้งในการดำเนินงานแต่ละ Moment เพราะระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน อาจไม่ได้อิงปัญหาจากภายในประเทศเพียงด้านเดียว อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของบกด.เองคาดว่าจะยังไปได้ด้วยดีอยู่”