การส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม 2553 มีมูลค่าสูงสุดในรอบ 22 เดือน แม้เป็นช่วงที่ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองเข้าขั้นวิกฤต และมีวันทำการน้อย แต่การส่งออกสินค้าสำคัญส่วนใหญ่ก็ยังคงขยายตัวสูง นอกจากนี้ มูลค่าการส่งออกที่สูงดังกล่าว ส่วนหนึ่งยังได้รับอานิสงส์จากการส่งออกทองคำที่พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 521 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าสูงถึง 1,379 ล้านดอลลาร์ฯ หรือเกือบ 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกทองคำในปีที่แล้วทั้งปี อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การส่งออกในระยะข้างหน้ายังต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งภาครัฐและเอกชนอาจต้องเตรียมรับมือกับแนวโน้มที่การส่งออกในครึ่งปีหลังอาจชะลอตัว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ดังมีประเด็นสำคัญ ต่อไปนี้
การส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม 2553 มีมูลค่า 16,556 ล้านดอลลาร์ฯ สูงสุดในรอบ 22 เดือน และมีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 42.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Year-on-Year) เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 35.2 ในเดือนก่อนหน้า โดยการขยายตัวของการส่งออกในเดือนล่าสุดยังคงได้รับอานิสงส์จากการส่งออกทองคำที่พุ่งสูงถึงร้อยละ 521 ต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 1,138 หากพิจารณาเฉพาะการส่งออกที่ไม่รวมทองคำ ขยายตัวร้อยละ 32.8 ในเดือนพฤษภาคม สูงขึ้นจากร้อยละ 26.6 ในเดือนก่อน โดยสินค้ารายการสำคัญส่วนใหญ่ยังคงเติบโตสูงเป็นตัวเลข 2 หลัก ด้านการนำเข้าในเดือนพฤษภาคมมีมูลค่า 14,345 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัวร้อยละ 55.1 (YoY) สูงขึ้นจากร้อยละ 46.0 ในเดือนก่อน โดยราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันที่อ่อนตัวลงอย่างมากในระยะที่ผ่านมา เป็นสาเหตุให้ผู้ประกอบการไทยเร่งนำเข้าสินค้าวัตถุดิบเพื่อให้ได้ประโยชน์จากต้นทุนราคาสินค้าที่ต่ำ สำหรับดุลการค้าในเดือนพฤษภาคมพลิกกลับมาเกินดุลในระดับที่สูงสุดในรอบ 12 เดือน ที่มูลค่า 2,111 ล้านดอลลาร์ฯ จากที่บันทึกการขาดดุลครั้งแรกในรอบ 17 เดือนที่ 266 ล้านดอลลาร์ฯ ในเดือนก่อนหน้า
สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ชะลอตัวในเดือนก่อนกลับมาดีขึ้นอย่างมาก ขณะที่กลุ่มสินค้าที่มีการส่งออกขยายตัวโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ ก็ยังมีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง ส่วนสินค้ากลุ่มที่ไม่สดใสนัก ได้แก่ ข้าว อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เสื้อสำเร็จรูป เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก เป็นต้น
ตลาดยุโรปขยายตัวต่ำกว่าตลาดในภูมิภาคอื่นๆ ค่อนข้างมาก โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า ในขณะที่การส่งออกไปยังตลาดส่วนใหญ่ในเดือนพฤษภาคมมีการฟื้นตัวดีขึ้นมากจากที่ชะลอตัวในเดือนก่อน แต่ตลาดประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปยังขยายตัวไม่ต่างจากเดือนก่อนมากนัก ซึ่งสะท้อนถึงทิศทางอุปสงค์ในตลาดยุโรปที่อาจไม่สดใสนักในระยะข้างหน้า โดยการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป 15 ประเทศ ขยายตัวร้อยละ 19.3 (YoY) ในเดือนพฤษภาคม (จากร้อยละ 15.0 ในเดือนก่อน) ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 26.7 ญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 39.4 อาเซียน 5 ประเทศ ขยายตัวร้อยละ 50.0 ส่วนตลาดใหม่โดยเฉลี่ยขยายตัวร้อยละ 48.3 ทั้งนี้ ตลาดยุโรปที่เริ่มชะลอตัวแล้วในเดือนพฤษภาคม ได้แก่ เยอรมนีและโปรตุเกส ขณะที่ไอร์แลนด์มีการหดตัวมาตั้งแต่ต้นปี
จากตัวเลขการส่งออกที่ขยายตัวสูงอย่างมากในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2553 อีกทั้งมีผลของการส่งออกทองคำ ซึ่งด้วยระดับราคาในปัจจุบัน (เดือนมิถุนายน) ที่ยังคงพุ่งทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่และทรงตัวในระดับสูงนี้ น่าจะยังเป็นแรงจูงใจให้มีการขายทองคำออกมาต่อไปอีก ซึ่งคงจะหนุนตัวเลขการส่งออกในเดือนมิถุนายน ให้ยังคงขยายตัวสูง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดว่า การส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 น่าจะมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 34 (YoY)
ในระยะต่อไป แม้คาดว่าการส่งออกจะยังสามารถรักษาอัตราการขยายตัวเป็นบวกได้ในแต่ละเดือนของช่วงครึ่งปีหลัง แต่การส่งออกมีแนวโน้มที่จะชะลอตัว อันเนื่องมาจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งประเด็นเกี่ยวกับวิกฤตด้านการคลังของหลายประเทศในยุโรป เป็นสิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ทั้งผลที่อาจจะมีขึ้นต่อภาคสถาบันการเงินของยุโรป และผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของยุโรปทั้งภูมิภาค รวมถึงเสถียรภาพของค่าเงินยูโร หากวิกฤตดังกล่าวลุกลามขยายวงออกไปมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวในระยะข้างหน้า ซึ่งอาจจะส่งผลให้การส่งออกของหลายประเทศในเอเชีย รวมทั้งไทย ชะลอตัวตามไปด้วย
โดยสรุป จากตัวเลขการส่งออกของไทยที่ขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้อย่างมากในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาของปี 2553 ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลของการส่งออกทองคำเข้ามาเป็นปัจจัยหนุนเพิ่มเติมด้วยนี้ ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การส่งออกในครึ่งแรกของปี 2553 น่าจะขยายตัวได้สูงถึงประมาณร้อยละ 34 และมีโอกาสสูงที่การส่งออกทั้งปี 2553 อาจมีอัตราการขยายตัวสูงกว่ากรอบประมาณการที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 17.0-24.0 อย่างไรก็ตาม จากความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกที่เผชิญความเสี่ยงจากวิกฤตหนี้สาธารณะของหลายประเทศในยุโรป จนทำให้มีความวิตกกังวลต่อโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรอบสอง (Double-Dip Recession) ในบางประเทศ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงรอติดตามสถานการณ์ในเดือนข้างหน้าต่อไปก่อนที่จะพิจารณาปรับประมาณการแนวโน้มการส่งออกอีกครั้ง
ทั้งนี้ นอกจากความเสี่ยงด้านวิกฤตหนี้ในภูมิภาคยุโรปที่อาจส่งผลให้การส่งออกชะลอตัว ผู้ส่งออกไทยอาจต้องเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นหลายด้าน ทั้งค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่า ขณะที่ต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคาอย่างหนัก เนื่องจากผู้ซื้อในต่างประเทศมีทางเลือกให้สามารถต่อรองราคาได้มาก นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญแรงกดดันด้านต้นทุน ทั้งจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่มีโอกาสปรับขึ้นในระยะข้างหน้า รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่อาจเข้าสู่ช่วงขาขึ้น ซึ่งด้วยปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงนี้ ผู้ส่งออกไทยจึงควรเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ที่อาจต้องเผชิญความยากลำบากมากขึ้น