ดีทรอยท์,มิชิแกน – เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอมพานี (จีเอ็ม) ได้แถลงผลประกอบการประจำไตรมาสที่สองปี 2553 โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมกว่า 33.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นกำไรสุทธิรวม 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้มีมูลค่ากำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 2.55 เหรียญสหรัฐฯ โดยผลกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสที่สองของจีเอ็มก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีคิดเป็นมูลค่ากว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
จีเอ็ม อเมริกาเหนือ มีผลกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสที่สองของปี 2553 ก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเป็นมูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มจากผลกำไรในไตรมาสที่หนึ่งจำนวน 1.2 พันล้านเหรียญ ส่วนทางจีเอ็ม ยุโรป มีมูลค่าภาวะขาดทุนก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีคิดเป็นมูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีขึ้น เทียบกับไตรมาสแรกที่ 500 ล้านเหรียญ ทางด้านจีเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชันส์ ได้รายงานผลกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเป็นมูลค่า 7 ร้อยล้านเหรียญ ซึ่งลดลงจากมูลค่า 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในไตรมาสแรก
ยอดกระแสเงินสดหมุนเวียนจากการดำเนินกิจการต่างๆ ของบริษัทฯ คิดเป็นมูลค่า 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และหลังจากได้มีการปรับแก้ค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินทุนมูลค่า 1.1 พันล้านเหรียญแล้ว ยอดสุทธิของกระแสเงินสดหมุนเวียนที่นำไปใช้ได้มีมูลค่าอยู่ที่ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จีเอ็มได้ปิดยอดบัญชีสุทธิในไตรมาสที่สองด้วยสินทรัพย์กว่า 32.5พันล้านเหรียญ ในส่วนที่เป็นเงินสดรวมถึงหลักทรัพย์ที่สามารถขายทอดตลาดได้ ซึ่งรวมถึงกองทุนต่าง ๆ ในบัญชีแคนาเดียนเฮลธ์แคร์ทรัส ซึ่งเป็นบัญชีที่เปิดขึ้นเพื่อดูแลผลประโยชน์ของบริษัทฯ
“ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับความคืบหน้าอีกขั้นเพื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์ทางธุรกิจของเรา” มร. คริส ลิดเดลล์ รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน กล่าว “เราได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแกร่ง บริหารจัดการต้นทุน ค่าใช้จ่ายด้วยความมีวินัย พัฒนาโครงการต่าง ๆ ตามกลยุทธ์ที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การปรับโครงสร้างของจีเอ็มยุโรป และการเข้าถือครองบริษัท AmeriCredit รวมถึงได้สร้างความเติบโตทางด้านรายรับและกระแสเงินสดหมุนเวียนในสองไตรมาสที่ผ่านมา”