เอไอเอส ตอกย้ำความเป็นผู้นำการดูแลลูกค้าแบบครบวงจร เปิดกลยุทธ์ CRM ขยายฐาน เอาใจลูกค้าระดับองค์กร เจ้าของกิจการ และกลุ่มเอสเอ็มอี ด้วยแนวคิดธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) พร้อมมอบสิทธิพิเศษเพื่อให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุนและเสริมศักยภาพการ บริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังสามารถใช้สิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ประจำวันของกลุ่มพนักงานได้เช่นเดียวกับกลุ่มลูกค้า Mass
นายยิป ฮอน มัน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริหารลูกค้าองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “องค์กรธุรกิจในประเทศทั้งหมดต่างมีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เอไอเอสจึงพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างและสนับสนุนทั้งผ่านเทคโนโลยีสื่อสารแบบครบวงจรและบริการอื่นๆ เพื่อให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบันเอไอเอสมีฐานลูกค้าองค์กรโดยรวมอยู่ราว 500,000 เลขหมาย แบ่งเป็นลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ (Key account) ที่มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 200 ล้านบาทขึ้นไป จำนวนประมาณ 330,000 เลขหมาย และลูกค้าเอสเอ็มอีที่มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป จำนวนกว่า 170,000 เลขหมาย โดยจากการศึกษาเราพบว่าลูกค้าระดับองค์กร และกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี นอกจากจะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ ธุรกิจให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างการเติบโตขององค์กรแล้ว ยังต้องการสิทธิพิเศษที่จะอำนวยความสะดวก ลดต้นทุนธุรกิจ รวมถึงความสะดวกสบายจากการใช้ชีวิตทั้ง Daily Life และ Lifestyle อีกด้วย ดังนั้น เราจึงทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว อันจะนำมาซึ่งการครองใจให้ได้อย่างเหนียวแน่นที่สุดผ่านทาง กลยุทธ์ CRM”
นางวิลาสินี พุทธิการันต์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้าและการบริการ เอไอเอส กล่าวว่า “จากการที่ เราให้ความสำคัญเรื่องของการดูแลลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้งานโทรศัพท์มือถือ และการบริการ รวมถึงมอบสิทธิพิเศษเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันและไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ดังนั้นล่าสุดเอไอเอสจึงขยายฐานการดูแลเข้าไปยังกลุ่มลูกค้าองค์ และเอสเอ็มอีทั้งหมด โดยมุ่งเน้นทั้งการสนับสนุนผ่านสิทธิพิเศษ ในรูปแบบของ Business to Business (B2B) เสริมศักยภาพในการทำธุรกิจให้เข้มแข็ง ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive advantage) รวมไปถึงสิทธิพิเศษ Daily Life และ Lifestyle”
โดยรูปแบบการทำงานของเอไอเอส แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ประกอบด้วย
1. Solutions ออกแบบโซลูชั่นที่เหมาะสมกับการบริหารจัดการ และการใช้งานตามขนาดของธุรกิจ เพื่อเสริมศักยภาพและเพิ่มความเป็นต่อในการแข่งขันทางธุรกิจ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการลงทุน
2. Service พัฒนาช่องทางและงานบริการ เพื่อสนับสนุนความเป็นมืออาชีพทางธุรกิจ อาทิ AIS Corporate Call Center 1149 และ Business Consulting บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจ เป็นต้น
3. Privilege ซึ่งนอกจากเอไอเอสจะขยายฐานให้ลูกค้าองค์กรและเอสเอ็มอีได้ รับสิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์จาก “AIS Plus” ในแกนต่างๆ อาทิ Entertainment, Dinning, Shopping และ Transportation แล้ว ยังมีสิทธิพิเศษในรูปแบบ “Business Privilege” สำหรับลูกค้าองค์กรและเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ ด้วยแนวคิด B2B (Business to Business) ธุรกิจเชื่อมธุรกิจเพื่อช่วยเสริมศักยภาพในการบริหารจัดการ ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายภายในองค์กร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย 2 แกนหลักคือ 1. Financial ที่ ปรึกษาทางด้านการเงิน โดยได้ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย มอบสิทธิพิเศษด้านบริการวางแผนการเงิน ส่วนบุคคล พร้อมเข้าร่วมกิจกรรมและจองการสัมมนาอบรมธุรกิจก่อนใคร 2. Business Facilities สิทธิพิเศษที่อำนวยความสะดวก ทางธุรกิจ อาทิ สิทธิพิเศษส่วนลด 50 บาท เมื่อซื้อสินค้าอุปกรณ์สำนักงานที่ร้าน Office Depot กว่า 33 สาขาทั่วประเทศ, สิทธิ พิเศษส่วนลด 50% เมื่อรับบริการที่ศูนย์บริการบี-ควิก กว่า 65 สาขาทั่วประเทศ และสิทธิพิเศษด้านการเดินทางขนส่งกับส่วนลดน้ำมันลิตรละ 15 สตางค์ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก 500 สาขาทั่วประเทศ เป็นต้น
“เราเชื่อมั่นว่า การขยายฐานลูกค้าให้ได้รับสิทธิพิเศษที่มากกว่าทั้งทางด้านการใช้ชีวิตและในเชิงธุรกิจนั้น จะสามารถเสริมศักยภาพและสร้างมูลค่าในการดำเนินธุรกิจได้เพิ่มขึ้น สร้างความมั่นใจ ความภาคภูมิใจอย่างเหนือระดับให้กับกลุ่มลูกค้าองค์กรของเอไอเอส อีกทั้งยังเป็นการสร้างความผูกพันและความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น กับลูกค้ากลุ่มนี้อีกด้วย” วิลาสินี กล่าวทิ้งท้าย