กรุงเทพฯ – กระทรวงศึกษาธิการ ลงนามบันทึกความร่วมมือกับกรุงศรี ออโต้ ผู้นำสินเชื่อ ยานยนต์ครบวงจร ในโครงการ “กรุงศรี ออโต้ มอบคอมพิวเตอร์เพื่อลูกเสือและยุวกาชาดไทย” เพื่อมอบคอมพิวเตอร์ 790 เครื่อง มูลค่า 1 ล้านบาทแก่โรงเรียนที่ขาดแคลน สนับสนุนการจัดกิจกรรมลูกเสือ ยุวกาชาด และพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของเยาวชนไทยในยุคดิจิตอล
นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือของโครงการ กล่าวว่า ในปัจจุบันจำนวนสถานศึกษาทั่วประเทศตั้งแต่ระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา มีมากกว่า 40,000 แห่ง และมีจำนวนไม่น้อยที่อยู่ห่างไกลความเจริญและห่างไกลจากการรับข้อมูลข่าวสาร ที่เป็นปัจจุบันทำให้ขาดคุณภาพและความเสมอภาคทางการศึกษา ตลอดจนการพัฒนาการเรียนรู้ การที่ กรุงศรี ออโต้ ได้มองเห็นปัญหาและเข้ามามีส่วนร่วมในนามของภาคประชาชนในการจัดโครงการนี้ จะช่วยให้สถานศึกษานำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาล ทั้งครูผู้สอนและผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในการเรียน การสอน โดยสามารถใช้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าที่ดีเยี่ยมเปรียบเสมือนย่อห้องสมุดขนาดใหญ่ไว้ในโรงเรียนขนาดเล็ก ทั้งยังช่วยติดต่อสื่อสารกันได้ทั่วโลก สามารถรับ – ส่งข่าวสารอย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ทันสมัยและได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น และยังใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อย่างหลากหลายวิธี
“การจัดโครงการ “กรุงศรี ออโต้ มอบคอมพิวเตอร์เพื่อลูกเสือ และยุวกาชาดไทย” โดยการบริจาคคอมพิวเตอร์ให้แก่ลูกเสือ ยุวกาชาด ที่มีความขาดแคลนในเรื่องสื่อการเรียนการสอน นับเป็นการส่งเสริมนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กไทย ผ่านกิจกรรมการศึกษาในช่องทางต่างๆ รวมถึงช่องทางออนไลน์ เพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา ความรู้ความสามารถของเด็กไทย ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งข้อมูลอันทันสมัย โครงการ “กรุงศรี ออโต้ มอบคอมพิวเตอร์เพื่อลูกเสือและยุวกาชาดไทย” ที่สำนัก การลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน ได้จัดขึ้นร่วมกับกรุงศรี ออโต้ ถือเป็นความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ระหว่างองค์กรภาครัฐและเอกชน การส่งเสริมให้มีการใช้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อเป็นสื่อ การสอนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มประโยชน์ในการเรียนการสอนได้อย่างดียิ่งขึ้น พร้อมกับเป็น การส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมเพื่อให้เติบโตเป็นพลเมืองดี ของสังคมและประเทศชาติ”
นายนิวัตร นาคะเวช รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า โครงการนี้จะจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้แก่สถานศึกษาในเครือข่ายของสำนักการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน เพื่อประกอบการเรียน การสอนตามหลักสูตรและกิจกรรมลูกเสือ ยุวกาชาดสำหรับนักเรียนและนักศึกษา อาทิ หน่วยลูกเสือจราจร หน่วยลูกเสือบรรเทาสาธารณภัย หน่วยลูกเสือประชาธิปไตย หน่วยลูกเสือคุณธรรม หน่วยลูกเสือต่อต้านยาเสพติด และการบำเพ็ญประโยชน์ของยุวกาชาด
“ปัจจุบันการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นสื่อการสอนในห้องเรียนมีมากขึ้น โดยนอกจากจะใช้เป็นแหล่งค้นคว้าข้อมูลสำหรับกิจกรรมลูกเสือ ยุวกาชาด แล้ว ยังสามารถลงโปรแกรมสำเร็จรูปเช่นการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสอนการฝึกทักษะระเบียบแถว สัญญาณ และการผูกเงื่อนแบบต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นประโยชน์ ในการพัฒนากิจกรรมลูกเสือและยุวกาชาดต่อไป”
โครงการ “กรุงศรี ออโต้ มอบคอมพิวเตอร์เพื่อลูกเสือและยุวกาชาดไทย” มีระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2553 – 1 กรกฎาคม 2554 กรุงศรี ออโต้ จะมอบเครื่องคอมพิวเตอร์ (ใช้แล้ว) พร้อมลงโปรแกรมอีเลิร์นนิ่ง (e-learning) และโปรแกรมสำเร็จรูปพื้นฐานที่ใช้ในกิจกรรมลูกเสือและ ยุวกาชาด ให้แก่สถานศึกษาทั่วประเทศในเครือข่ายของสำนักการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน จำนวนทั้งสิ้น 790 เครื่อง โดยจะทยอยส่งมอบเครื่องคอมพิวเตอร์ รวม 2 ครั้ง คือ เดือนธันวาคม 2553-มกราคม 2554 และเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2554
นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ กรุงศรี ออโต้ กล่าวว่า “กรุงศรี ออโต้ มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบายการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ โดยตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาของประชาชนในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน จัดโครงการ “กรุงศรี ออโต้ มอบคอมพิวเตอร์เพื่อลูกเสือและยุวกาชาดไทย” เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมการเรียนรู้ของลูกเสือ และยุวกาชาดไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคดิจิตอล ซึ่งนอกเหนือจาก การเรียนรู้ตามหลักสูตรแล้ว กิจกรรมลูกเสือและยุวกาชาดถือว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนสังคมได้เป็นอย่างดี
“เรามุ่งหวังว่าโครงการ “กรุงศรี ออโต้ มอบคอมพิวเตอร์เพื่อลูกเสือและยุวกาชาดไทย” นี้จะเป็นส่วนหนึ่ง ในการส่งเสริมวินัยและการพัฒนากิจกรรมลูกเสือ ยุวกาชาด ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนต่อไป” นายไพโรจน์กล่าวสรุป