อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทย นับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญ โดยในปี 2553 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 27.4 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ โดยการลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากบริษัทต่างชาติชั้นนำของโลกที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตสินค้าในประเทศไทย ซึ่งบริษัทต่างชาติที่ได้เข้ามาลงทุนในไทยประกอบไปด้วยบริษัทจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อเมริกาและสหภาพยุโรป เป็นต้น สำหรับประเทศญี่ปุ่นนั้นนับว่าเป็นประเทศที่มีการเข้ามาลงทุนในไทยมีสัดส่วนค่อนข้างสูง โดยใช้ประเทศไทยเป็นการผลิตเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศรวมถึงส่งกลับไปยังประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ไทยก็ได้มีการนำเข้าชิ้นส่วน อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จากญี่ปุ่นเพื่อนำมาผลิตสินค้าเช่นกัน
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีความแรงถึง 9.0 ริกเตอร์ และก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิพัดเข้าใส่บ้านเรือน เป็นโศกนาฏกรรมที่ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมาก สำหรับภาคธุรกิจเองได้รับความเสียหายเช่นกัน โดยในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ส่วนใหญ่จะเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญของโลก ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ ความรุนแรงจากแผ่นดินไหว ทำให้โรงงานหลายแห่งที่ได้รับความเสียหายยังไม่สามารถที่จะกลับมาผลิตสินค้าได้ตามปกติ ขณะที่โรงงานที่ไม่ได้รับความเสียหายมากนักและได้เริ่มกลับมาผลิตสินค้าแล้ว แต่ยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบที่อาจมีต่ออุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ในช่วงที่เหลือของปี 2554 ดังนี้
แผ่นดินไหวญี่ปุ่น: ผลต่ออุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทย
ภายหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิที่ญี่ปุ่น ทำให้มีบริษัทวิจัย1ชั้นนำของโลกต่างแสดงความเห็นถึงผลจากเหตุการณ์ในครั้งนี้คงส่งผลกระทบต่อตลาดอิเล็กทรอนิกส์ของโลกและไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เทคโนโลยีขั้นสูง ที่เป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่สำคัญของโลก และเป็นแหล่งผลิตที่ผลิตเพื่อการส่งออกไปประกอบยังฐานการผลิตนอกประเทศ สำหรับจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว อาทิ มิยางิ อิวาเตะ และฟูชิมา เป็นจังหวัดที่มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก เช่น วงจรรวมและไมโครแอสแซมบลี (IC) เลนส์ (Optical) แบตเตอร์รี่ จอแอลซีดี (LCD) หน่วยความจำแนนด์ (NAND flash memory) ที่มีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 35.7 ของโลก ขณะที่ซิลิคอน เวเฟอร์ (Silicon wafer) ญี่ปุ่นครอบครองส่วนแบ่งการตลาดที่สูงถึงร้อยละ 70.0 ของโลก ในขณะที่พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีการผลิตสูงถึงร้อยละ 25-30 2 ของโลก นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นห่วงโซ่อื่นที่ใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น epoxy resin ที่ใช้สำหรับทำแผ่นที่วางพวกชิปต่าง (Package chip substrates) และแผงควบคุมที่ใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เครื่องซักผ้า เป็นต้น
สำหรับสถานการณ์ การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ณ ปัจจุบันนี้ พบว่า โรงงานหลายแห่งยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้ เนื่องจากได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ขณะที่แม้ว่าโรงงานบางแห่งจะสามารถกลับมาผลิตได้ก็ตาม แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องของไฟฟ้า น้ำประปา วัตถุดิบที่นำมาผลิต รวมถึงปัญหาโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ทำให้ยังไม่สามารถกลับมาผลิตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเต็มกำลังตามที่ควร ซึ่งการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต้องการความเสถียรของไฟฟ้า เพื่อให้สินค้ามีมาตรฐาน
จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ทั่วโลกรวมถึงไทยบ้างแล้ว โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบที่อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ไทยได้รับ ดังนี้
การส่งออกชะลอตัวในไตรมาส 2 แต่ครึ่งปีหลังมีโอกาสกลับมาเติบโตสูงขึ้น ภายหลังจากญี่ปุ่นเริ่มฟื้นฟูความเสียหาย การส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทยไปยังญี่ปุ่นมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 11.1 ของการส่งออกกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยในช่วงเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ 2554 มีมูลค่าประมาณ 1,005 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวส่วนใหญ่จะมาจากการส่งออกในส่วนของอุตสาหกรรมไฟฟ้า ที่ขยายตัวประมาณร้อยละ 44.0 (หรือมีมูลค่าประมาณ 568.74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าที่ส่งออกไปญี่ปุ่นมีมูลค่าการส่งออกที่สูงได้แก่ กลุ่มสายไฟและชุดสายไฟ กลุ่มเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้ารวมถึงแป้นและแผงควบคุม และตู้เย็นที่ใช้ในครัวเรือน เป็นต้น สำหรับสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าการส่งออกที่สูง ได้แก่ กลุ่มอุปกรณ์คอมพิวเอตร์ กลุ่มวงจรรวมและไมโครแอสแซมบลี และไดโอด เป็นต้น อย่างไรก็ดี คาดว่า การส่งออกในระยะสั้นคงจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคในประเทศญี่ปุ่น แต่คาดว่า ภายหลังจากที่เริ่มมีการฟื้นฟูประเทศ และครัวเรือนมีการซ่อมแซม ซื้อสิ่งของเครื่องใช้ในบ้านทดแทนส่วนที่เสียหาย การเติบโตในภาคอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ น่าจะกลับมาเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าพื้นฐาน
กระบวนการผลิตในประเทศได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนอุปกรณ์ชิ้นส่วนที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ผู้ประกอบการมองหาแหล่งผลิตใหม่ทดแทน ทั้งนี้แม้ว่าบริษัทญี่ปุ่นหลายรายจะเข้ามาตั้งฐานการผลิตสินค้าในไทยเพิ่มมากขึ้น แต่ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตยังคงนำเข้ามาจากญี่ปุ่น โดยไทยนำเข้าอุปกรณ์ ชิ้นส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 25.8 ของตลาดนำเข้าอุปกรณ์ ชิ้นส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด เช่น วงจรรวมไมโครแอสแซมบลี ไดโอด เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า สำหรับตัดต่อป้องกันวงจรไฟฟ้า รวมถึงแป้นและแผงควบคุม เป็นต้น
โดยปัจจุบัน ผู้ประกอบการอาจยังคงมีสต็อกสินค้าคงเหลืออยู่พอใช้ได้ในระยะ 1-2 เดือน อย่างไรก็ดี ระยะเวลาและผลกระทบที่จะได้รับนั้น ยังคงขึ้นอยู่กับการคลี่คลายวิกฤตนิวเคลียร์ การเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเพื่อทดแทนกำลังไฟฟ้าที่หายไปจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และการกลับมาเริ่มต้นผลิตของผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ประสบความเสียหายจากภัยพิบัติ ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ของบริษัทวิจัยชั้นนำของโลก3 พบว่า อุปทานหน่วยความจำ NAND ในเดือนพฤษภาคม จะลดลงประมาณร้อยละ 30 ของอุปทานในตลาดโลก ซึ่งโดยปกติหน่วยความจำชนิดนี้มีอุปทานที่ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากความต้องการใช้ที่สูงในโทรศัพท์เคลื่อนที่สมาร์ทโฟนและ Tablet ในขณะที่การผลิตซิลิคอนเวเฟอร์ มีการคาดการว่าโรงงานอาจจะต้องใช้ระยะเวลาถึง 6 เดือนกว่าจะสามารถกลับมาผลิตได้เป็นปกติ ทำให้อาจเกิดปัญหาอุปทานในตลาดโลกได้เช่นกัน
จากการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นที่ส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำ ทำให้แม้ว่าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือส่วนประกอบบางประเภทจะไม่ได้นำเข้าจากญี่ปุ่นโดยตรง แต่ไทยเองก็จะได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามมาด้วยเช่นกัน ดังนั้น ผู้ประกอบการอาจต้องเริ่มมองหาผู้ผลิตสินค้ารายอื่นๆ ทดแทน เช่น ผู้ผลิตจากเกาหลีใต้ และจีน เป็นต้น
ราคาสินค้าปรับตัวขึ้น เนื่องจากความกังวลต่อการขาดแคลนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า จะเห็นได้ว่าภายหลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นนั้น ได้ส่งผลให้ราคาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวขึ้น อาทิ หน่วยความจำ 32Gb MLC NAND Flash ราคา (Spot price)4 ในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4.78 เหรียญสหรัฐฯ ภายหลังที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวนั้นราคาปรับตัวขึ้นประมาณร้อยละ 19.3 ของราคาก่อนหน้า โดยในวันที่ 15 และ 16 มีนาคม ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5.70 เหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ระดับราคาขณะนี้เริ่มปรับตัวลงเล็กน้อย แต่ยังเป็นระดับราคาที่สูงกว่าก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ดังนั้น ราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น คงจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตในประเทศของไทย
การเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่มีความล่าช้า และสต็อกสินค้าในตลาดอาจได้รับผลกระทบ โดยในปี 2554 นี้ เป็นปีที่คาดว่า สินค้าไอที และเครื่องใช้ไฟฟ้า จะมีการเปิดตัวรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดกันอย่างคึกคัก อย่างไรก็ดี เหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อการเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ๆ เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่สมาร์ทโฟน Tablet กล้องดิจิตอล ให้ต้องเลื่อนออกไป เนื่องจากกระบวนการผลิตสินค้าบางแบรนด์ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 30-40 ของการผลิตสินค้า นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลต่อสินค้าบางรุ่นให้ขาดตลาดได้ในระยะข้างหน้า เช่น กล้องดิจิตอลบางรุ่นที่ผลิต และที่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากญี่ปุ่น เนื่องจากโรงานที่ผลิตกล้องดิจิตอลแบรนด์ชั้นนำของโลกนั้นมีโรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว เป็นต้น
ปี 2554 คาดว่า ไทยส่งออกอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มูลค่า 57,250-57,650 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
แม้ในระยะสั้น ธุรกิจอาจเผชิญปัจจัยกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น แต่น่าจะกระทบต่อภาพรวมทั้งปีไม่มากนัก โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การส่งออกอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในปี 2554 น่าจะมีมูลค่าประมาณ 57,250-58,650 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวประมาณร้อยละ 7.0-10.0 เมื่อเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 25.7 ในปี 2553 โดยในช่วงครึ่งหลังของปี การส่งออกไปญี่ปุ่นน่าจะปรับตัวดีขึ้น เมื่อญี่ปุ่นเริ่มมีการฟื้นฟูประเทศ ทำให้ความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าพื้นฐานน่าจะกลับมาขยายตัวได้ดี นอกจากนี้การเติบโตยังมีทิศทางที่ดีในหลายๆ ประเทศ เช่น ตลาดอาเซียน สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป
การส่งออกอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในปี 2554 นี้ คาดว่าจะได้รับแรงหนุนมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าเป็นหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าพื้นฐาน อาทิ ตู้เย็นใช้ในครัวเรือน เครื่องปรับอากาศ เครื่องรับโทรทัศน์ กล้องถ่ายทีวี วิดีโอ เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ นอกจากนี้ยังได้รับแรงหนุนมาจากกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำของโลกได้มีการปรับเปลี่ยนแผนการผลิต โดยหันมาเพิ่มกำลังผลิตที่ไทยเพิ่มขึ้น และใช้ไทยเป็นฐานการส่งออกไปยังต่างประเทศทั่วโลก จะเห็นได้จากสินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กที่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า ในปี 2554 นี้ จะมีมูลค่าประมาณ 22,635-23,050 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวประมาณร้อยละ 10.0-12.0 เมื่อเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 32.4 ในปี 2553
ในขณะที่การส่งออกอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ในปี 2554 นี้ คาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ในปี 2554 นี้ จะมีมูลค่าประมาณ 34,620-35,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวประมาณร้อยละ 5.0-8.0 เมื่อเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 21.9 ในปี 2553 การเติบโตที่ชะลอตัวลงสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ส่งออกชะลอตัว โดยที่ผ่านมา ยอดขายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกมีอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าที่บริษัทวิจัยหลายแห่งได้คาดการณ์ โดยเฉพาะในกลุ่มคอมพิวเตอร์ขนาดพกพา โดยมีสาเหตุมาจากการเปิดตัวสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่สมาร์ทโฟนและ Tablet ที่เข้ามาเป็นคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญ การเติบโตที่ชะลอตัวของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ส่งผลกระทบต่อมายังส่วนประกอบต่างๆ เช่นกัน
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การส่งออกในกลุ่มคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์น่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยคำสั่งซื้อน่าจะเริ่มกลับมาในช่วงไตรมาส 2 ภายหลังจากมีการปรับลดสต๊อกสินค้าในช่วงต้นปี นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากการเปิดตัวของสินค้ารุ่นใหม่ของหลายๆ บริษัททั่วโลก สำหรับสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีในปีนี้ ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่สมาร์ทโฟน และ Tablet ที่บริษัทสินค้าไอทีชั้นนำของโลกต่างมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ในปีนี้
บทสรุป
แนวโน้มของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2554 นี้ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงครึ่งแรกของปีที่ทำให้การส่งออกสินค้าลดลงตามความต้องการที่ปรับลดลงในญี่ปุ่น และผลจากการขาดแคลนวัตถุดิบนำเข้ามาผลิตจากญี่ปุ่น ที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตในประเทศก็ตาม แต่คาดว่าจะได้รับผลกระทบในระยะสั้น โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมคาดว่าจะยังคงรักษาระดับการเติบโตที่เป็นบวกได้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าส่งออกอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์น่าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 57,250-58,650 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวประมาณร้อยละ 7.0-10.0 ชะลอลงเมื่อเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 25.7 ในปี 2553 โดยที่มูลค่าการส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า ในปี 2554 นี้ จะมีมูลค่าประมาณ 22,635-23,050 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวประมาณร้อยละ 10.0-12.0 เมื่อเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 32.4 ในปี 2553 และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ในปี 2554 นี้ จะมีมูลค่าประมาณ 34,620-35,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวประมาณร้อยละ 5.0-8.0 เมื่อเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 21.9 ในปี 2553 โดยนอกเหนือจากการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นที่คาดว่าจะกลับมาเติบโตได้ดีในช่วงครึ่งหลังของปี แต่การเติบโตยังมาจากการที่บริษัทต่างชาติมีการขยายกำลังผลิตสินค้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้น และมีการส่งสินค้าออกไปยังตลาดใหม่เพิ่มมากขึ้น
สำหรับประเด็นสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในระยะข้างหน้า เนื่องจากอุตสาหกรรมยังคงต้องพึ่งพาการลงทุนจากบริษัทต่างชาติเป็นหลัก โดยการผลิตในประเทศส่วนใหญ่เป็นการรับจ้างการผลิตในส่วนของอุปกรณ์และชิ้นส่วนพื้นฐาน และสินค้าเหล่านี้ไทยเองก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่มีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าและมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ในขณะที่กระบวนการผลิตในส่วนที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงยังคงอยู่ที่ประเทศที่เป็นเจ้าของสินค้า ดังนั้นเพื่อให้อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางตลาดที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ภาครัฐควรจะมีนโยบายในการสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยหันมาผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น โดยการสร้างแรงจูงใจ เช่น มาตรการส่งเสริมการลงทุนที่แข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้ นโยบายด้านภาษี การปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วในปัจจุบัน ตลอดจนการพัฒนาทักษะและผลิตแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโดยอาศัยความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและสถานศึกษาให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้อีกทางหนึ่ง


