อุตสาหกรรมรองเท้าหนังปี’ 54 คาดยังเติบโตได้ดี

ภาวะเศรษฐกิจโลกมีทิศทางดีขึ้น ทำให้ความนิยมสินค้าแฟชั่น ได้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าสินค้าประเภทนี้ อำนาจการซื้อของผู้บริโภคค่อนข้างจะแปรผันตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม โดยหนึ่งในสินค้าแฟชั่นที่คาดว่าจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ได้แก่ “รองเท้าหนัง” ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ทิศทางการส่งออกรองเท้าหนัง1 ในปี 2554 จะมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยมูลค่าการส่งออกน่าจะปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 560-570 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวร้อยละ 5.5-6.5 (YOY) ทั้งนี้ แม้ว่าอุตสาหกรรมรองเท้าหนังไทยจะยังคงรักษาระดับการเติบโตได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับหลากหลายปัจจัยเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการแข่งขันของไทย ที่เริ่มลดลงและถูกเบียดแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากประเทศคู่แข่ง ต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นและแรงงานฝีมือในภาคการผลิตยังไม่เพียงพอ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อโอกาสของไทย ในการดึงดูดนักลงทุนที่จะเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยและผู้ประกอบการต่างชาติในกลุ่มที่จะเข้ามาว่าจ้างไทยเป็นผู้ผลิตสินค้านั้นลดลง ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการไทย จะต้องเร่งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และการวางแผนการดำเนินธุรกิจ เพื่อรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และรับมือกับการแข่งขันทางการค้าที่มีทิศทางเข้มข้นขึ้น โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ภาพรวมของอุตสาหกรรมรองเท้าหนัง ในปี 2554 ดังนี้

สถานะของอุตสาหกรรมรองเท้าหนังไทย … ท่ามกลางนโยบายการย้ายฐานผลิต
เมื่อพิจารณาภาพรวมของอุตสาหกรรมรองเท้าหนังของไทย พบว่า ลักษณะการดำเนินงานในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้รับจ้างผลิต (OEM) ในสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 80 โดยเน้นการผลิตตามคำสั่งซื้อ เพื่อส่งออกไปต่างประเทศในตราสินค้าของผู้สั่งผลิต มากกว่าที่จะเป็นการส่งออกภายใต้ตราสินค้าของไทย ซึ่งลักษณะดังที่กล่าวมานี้ จะคล้ายคลึงกับประเทศคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญอย่าง จีน อินเดีย อินโดนีเซียและเวียดนาม เนื่องจากเป็นประเทศที่มีอัตราค่าจ้างแรงงาน และต้นทุนการผลิตต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น

อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการว่าจ้างผลิตรองเท้าชั้นนำของโลก มีนโยบายย้ายฐานการผลิต ไปต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหมวดรองเท้ากีฬา ที่ได้ทยอยย้ายฐานผลิตและคำสั่งซื้อไปยังประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และกัมพูชา เพิ่มมากขึ้น แต่สำหรับกลุ่มรองเท้าหนังระดับบนแล้ว พบว่า ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากบริษัทชั้นนำจากต่างชาติ ในการยืนยันที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและขยายการลงทุน ตลอดจนผู้ประกอบการรับจ้างผลิตของไทยบางส่วน สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางการค้าที่เกิดขึ้นได้ดี มีการรับคำสั่งซื้อเพื่อชดเชยในบางรายการสินค้าได้

หากพิจารณาการส่งออกรองเท้าหนัง ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2554 พบว่า การส่งออกยังขยายตัวได้ดี โดยมีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 134.27 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 18.6 (YOY) โดยการเติบโตยังคงมาจากตลาดหลัก เช่น เดนมาร์ก มีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกร้อยละ 24.5 รองลงมาคือ สหรัฐฯ (สัดส่วนร้อยละ18.0) อังกฤษ (สัดส่วนร้อยละ 7.2) และรัสเซีย (สัดส่วนร้อยละ 6.1) นอกจากนี้ ตลาดส่งออกรองเท้าที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ สเปน ที่ขยายตัวร้อยละ 119.6 และยูเครน ขยายตัวร้อยละ 273.0 ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่มีความน่าสนใจ สำหรับผู้ผลิตและผู้ประกอบการที่จะขยายตลาดไปยังประเทศเหล่านี้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ในตลาดส่งออกหลักอย่างเดนมาร์ก เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกรองเท้าหนังได้มีการขยับขึ้น มาเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยแทนที่สหรัฐฯ และไทยยังสามารถครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด มีส่วนแบ่งในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดนำเข้าด้วยสัดส่วนร้อยละ 18.5 ขยายตัวร้อยละ 20.1(YOY) โดยส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทผลิตรองเท้าชั้นนำระดับบนของโลกของเดนมาร์ก ยังคงใช้ไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ ซึ่งมีกำลังการผลิตมากกว่าร้อยละ 50 ของฐานการผลิตทั่วโลก ทั้งนี้ จากตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในกิจการผลิตรองเท้าหนัง พบว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา บริษัทผลิตรองเท้าหนังจากเดนมาร์ก ขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงสุด มีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม 154 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนและเพิ่มกำลังการผลิต รวมทั้งจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อที่จะผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางการกระจายสินค้าในภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้บริษัทผลิตรองเท้าชั้นนำของเดนมาร์กยังคงใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก คือ

  • ลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งที่ดีในการเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้า เหมาะสมสำหรับการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ตลอดจนรองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งจะมีผลทำให้การตลาดต่างประเทศง่ายขึ้น
  • มีการบริหารจัดการต้นทุน รวมถึงมีประสิทธิภาพการส่งมอบสินค้าตรงตามเวลา โดยได้รับการร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเข้มแข็งจากผู้ประกอบการรับจ้างผลิตที่มีฝีมือและคุณภาพ
  • ขั้นตอนการผลิตและสารเคมีที่ใช้ในการผลิตถูกต้องตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
  • ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดี ที่บ่งชี้ว่าไทยยังเป็นประเทศที่ได้รับความน่าสนใจในการลงทุน และมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิต และการทำการตลาดสำหรับอุตสาหกรรมรองเท้าหนังที่สำคัญในภูมิภาคของบริษัทรองเท้าชั้นนำของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสินค้ารองเท้าหนังระดับกลางถึงบน ที่ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น ทั้งในแถบยุโรปและเอเชีย หรือแม้แต่ประเทศผู้ผลิตอย่างจีนก็ยังมีความต้องการสินค้าคุณภาพในปริมาณมาก เนื่องจากสินค้าภายในประเทศยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างเพียงพอ ท่ามกลางกระแสนโยบายการย้ายฐานผลิตไปยังประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำ

    ทิศทางการส่งออกรองเท้าหนังปี’ 54 และประเด็นสำคัญที่น่าจับตามอง
    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ทิศทางการส่งออกรองเท้าหนังในปี 2554 จะยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยน่าจะได้รับปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้า ที่มีทิศทางการเติบโตที่ดี รวมถึงประเทศคู่แข่งที่สำคัญ อย่างจีนและเวียดนาม ยังคงต้องเผชิญกับมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) จากสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ นอกจากนี้ การขยายการลงทุนและเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง จากผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมรองเท้าจากต่างประเทศ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้ามากขึ้น ทำให้คาดว่า การส่งออกรองเท้าหนัง ในปี 2554 นี้ จะมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ประมาณ 560-570 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวร้อยละ 5.5-6.5 (YOY) เติบโตจากที่ขยายตัวร้อยละ 5.1 ในปี 2553

    เมื่อพิจารณากลุ่มรองเท้าหนังที่คาดว่าจะมีการขยายตัวได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ คงจะอยู่ในกลุ่มของรองเท้าไม่หุ้มข้อเท้าส่วนบนทำจากหนัง3 ซึ่งได้แก่ รองเท้าสำหรับใส่ลำลองและใส่ทำงาน โดยรองเท้าในกลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 70 ของการส่งออกรองเท้าหนังของไทย การขยายตัวดังกล่าวนั้น คาดว่า เป็นผลมาจากสินค้าในกลุ่มนี้กำลังอยู่ในกระแสนิยมของตลาด ทำให้ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งหันมาผลิตหรือรับคำสั่งซื้อในสินค้ากลุ่มนี้เพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อเป็นการชดเชยคำสั่งซื้อที่ลดลงจากการรับจ้างผลิตในบางรายการสินค้า

    ในขณะที่กลุ่มรองเท้าที่คาดว่าจะหดตัว ได้แก่ กลุ่มรองเท้าหุ้มข้อเท้าส่วนบนทำจากหนัง4 และรองเท้ากีฬา5 อาทิ รองเท้าบูทและรองเท้ากีฬาประเภทหุ้มข้อเท้า คิดเป็นสัดส่วนรวมกันประมาณร้อยละ 20 ของการส่งออกรองเท้าหนังของไทย โดยมีปัจจัยจากเรื่องของนโยบายย้ายฐานการผลิต และคำสั่งซื้อที่ลดลงจากผู้ว่าจ้างผลิตรองเท้าไปยังประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกในสินค้าหมวดนี้ของไทย หดตัวลงร้อยละ 95.2 และร้อยละ 25.2 (YOY) ตามลำดับ ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องจากปี 2553

    ทั้งนี้ แม้ว่าอุตสาหกรรมรองเท้าหนังไทยจะยังคงรักษาระดับการเติบโตได้ดี และยังคงอยู่ในสถานะประเทศผู้ส่งออกรองเท้าหนังที่สำคัญเป็นอันดับที่ 15 ของโลก โดยมีจุดเด่นในการดึงดูดความสนใจผู้ประกอบการข้ามชาติ ให้เข้ามาลงทุนหรือว่าจ้างผลิตหลายประการในระยะที่ผ่านมา อาทิ การตั้งอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของภูมิภาค ขนาดของตลาดที่ยังคงมีศักยภาพเติบโตสูง ตลอดจนได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความสามารถและความประณีตในการตัดเย็บ ฝีมือแรงงานที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีอุตสาหกรรมสนุบสนัน เช่น การผลิตชิ้นส่วนรองเท้าจำนวนมาก รวมไปถึงเทคโนโลยีการฟอกหนังที่สามารถฟอกหนัง ที่ได้มาตรฐานตามที่ต่างประเทศกำหนด ที่แม้แต่ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามเอง ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าหนังฟอกจากไทย

    แต่ระยะยาวอุตสาหกรรมรองเท้าหนังไทย ยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางธุรกิจที่อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ ทั้งในส่วนของการผลิตและการส่งออก ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถในการแข่งขันของไทยเริ่มลดลง และถูกเบียดแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด จากประเทศคู่แข่งที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า อย่างจีนและอินเดีย ที่มีข้อได้เปรียบเรื่องวัตถุดิบที่เป็นหนังดิบและหนังฟอกในประเทศมีปริมาณมาก เช่นเดียวกับเวียดนามและอินโดนีเซีย ที่มีจำนวนแรงงานค่อนข้างมากและค่าจ้างแรงงานต่ำ การเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการพึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูง อาทิ หนังดิบ หนังฟอก ชิ้นส่วนประกอบของรองเท้าและสารเคมี เป็นต้น ทำให้การควบคุมต้นทุนค่อนข้างลำบาก เพราะราคาเคลื่อนไหวไปตามราคาในตลาดโลก นอกจากนี้ การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ และแรงงานฝีมือที่มีความชำนาญด้านการออกแบบยังมีไม่เพียงพอ ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าคู่แข่ง

    เร่งดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ …เน้นเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการไทย
    จากปัจจัยเสี่ยงที่ได้กล่าวมาในข้างต้น อาจจะส่งผลกระทบต่อโอกาสของไทยในการดึงดูดผู้ประกอบการข้ามชาติ ให้เข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมรองเท้าในไทยลดลง จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทุนเพื่อหาแหล่งผลิตที่มีความคุ้มทุนมากที่สุด อีกทั้งผู้ประกอบการรับจ้างผลิต(OEM) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมที่ที่ต้องเผชิญกับคำสั่งซื้อที่ทยอยลดลง ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการที่เริ่มมีตราสินค้าเป็นของตนเอง อาจจะต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันทางด้านราคา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการสินค้าระดับกลางถึงล่าง

    ฉะนั้น สิ่งที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญ เพื่อเร่งหาแนวทางในการเพิ่มศักยภาพของอุตสาหกรรม ให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว และไม่สูญเสียโอกาสในการลงทุนในอุตสาหกรรมรองเท้าหนังในอนาคตให้กับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค คือ

    การเร่งเสริมจุดแข็งของไทยในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ขนส่ง ระบบสาธารณูปโภคและเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเอื้อให้เกิดความน่าสนใจในการลงทุนมากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาโดยร่วมมือกับภาคธุรกิจ โดยการประสานความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อที่จะได้รับทราบถึงปัญหาและอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ รวมทั้งสามารถกำหนดเป็นนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่มีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะยาวได้ นอกจากนี้ นโยบายของภาครัฐในการกระตุ้นและสนับสนุนผู้ประกอบการในลดต้นทุนในการผลิต ยังเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น อาทิ การพิจารณาลดอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบในกลุ่มหนังดิบ หนังฟอกและชิ้นส่วนประกอบของรองเท้า เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันทางด้านต้นทุนได้ แต่ในขณะเดียวกัน การพิจารณาปรับอัตราภาษีดังกล่าว ควรจะคำนึงถึงผู้ประกอบการในประเทศให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด เช่น การกำหนดโควต้านำเข้า เป็นต้น การส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรและแรงงานฝีมือให้มีความชำนาญในทักษะการผลิตยิ่งขึ้น เพื่อชดเชยกับค่าจ้างแรงงานและต้นทุนวัตถุดิบอื่นๆ ที่อาจจะสูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค อีกทั้งการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมสนับสนุน ตลอดจนการนำเสนอสิทธิประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้าเสรีให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ประกอบการ เพื่อเตรียมพร้อมรับการก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีก 4 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2558) ซึ่งจะสามารถเป็นแรงจูงใจที่ทำให้ผู้ประกอบการต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมรองเท้าในไทยมากขึ้น

    ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการรับจ้างผลิต(OEM) ควรหันมาทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น โดยการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ จากเดิมที่ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบตั้งรับ โดยรอรับคำสั่งซื้อจากผู้ว่าจ้างผลิต มาเป็นกลยุทธ์ส่งเสริมการทำตลาด โดยเริ่มจากการพัฒนาระบบฐานข้อมูล เกี่ยวกับผู้ประกอบการว่าจ้างผลิตที่อยู่ในตลาด และติดต่อธุรกิจผ่านระบบอินเตอร์เนตหรือโซเซียลมีเดีย เพี่อนำเสนอผลงานและทักษะความเชี่ยวชาญในการผลิตรองเท้าหนังประเภทต่างๆ ให้แก่บริษัทผู้ว่าจ้างผลิตพิจารณา ควบคู่กับการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนการเจรจาทางธุรกิจเพื่อนำเสนอผลงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มโอกาสในการร่วมทุนในการผลิตและการส่งออก นอกจากนี้ การกระจายคำสั่งซื้อจากแหล่งอื่นๆเพิ่มมากขึ้น และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาคธุรกิจไทยและต่างประเทศให้กว้างขวาง ยังเป็นการลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น จากการที่ผู้ว่าจ้างผลิตรายใดรายหนึ่งที่อาจจะลดคำสั่งซื้อลงได้ ในขณะที่ผู้ประกอบการที่เริ่มมีตราสินค้าเป็นของตนเอง ควรทำการศึกษาพฤติกรรมตลาดในเชิงพาณิชย์อยู่เสมอ เพื่อที่จะผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตลอดจนเกิดความชำนาญในทักษะการผลิตยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี การวางแผนปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ควรมุ่งเน้นในเรื่องของการลดต้นทุนการผลิต ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ มีการนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต ผลักดันการผลิตสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคา ในขณะเดียวกัน ควรแสวงหาตลาดและลูกค้ากลุ่มเป้าหมายใหม่ ควบคู่ไปกับการติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของคู่แข่งและคู่ค้าอย่างสม่ำเสมอ

    โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ทิศทางการส่งออกรองเท้าหนังไทยในปี 2554 จะยังคงมีแนวโน้มเติบโตดี แม้ว่าในระยะที่ผ่านมา ไทยต้องเผชิญกับนโยบายการเปลี่ยนแปลงย้ายฐานการผลิตจากผู้ประกอบการว่าจ้างผลิตรองเท้าชั้นนำของโลกที่ได้ทยอยย้ายฐานผลิตและคำสั่งซื้อไปยังประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า แต่ไทยก็ยังเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจในการดึงดูดความสนใจผู้ประกอบการข้ามชาติ ให้เข้ามาลงทุนหรือว่าจ้างผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รองเท้าหนังระดับกลางถึงบน เนื่องจากการตั้งอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของภูมิภาค การมีอุตสาหกรรมสนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมาก ประการสำคัญก็คือ การมีแรงงานฝีมือมีความประณีตในการตัดเย็บและได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    แต่กระนั้นก็ตาม การที่ไทยจะคงสถานะประเทศผู้ส่งออกรองเท้าหนังที่สำคัญของโลกได้อย่างยั่งยืน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งสร้างศักยภาพเพื่อเป็นฐานการผลิตที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างจุดแข็งของไทยในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพ และแนวทางการส่งเสริมนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนผู้ประกอบการในลดต้นทุนในการผลิต ตลอดจนการนำเสนอสิทธิประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้าเสรีให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ประกอบการ โดยอาศัยความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง

    นอกจากนี้ ในส่วนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ควรมีการวางแผนปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มุ่งเน้นในเรื่องของการทำการตลาดเชิงรุก และการลดต้นทุนการผลิต ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาคธุรกิจไทยและต่างประเทศให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการร่วมทุนในการผลิตและการส่งออก ประการสำคัญ ความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ยังเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น และพร้อมรับมือกับการแข่งขันทางการค้าที่เข้มข้น คาดว่า แนวทางการปรับตัวเหล่านี้จะช่วยทำให้ไทยยังคงเป็นฐานการผลิตที่มีความน่าสนใจในการลงทุนในอุตสาหกรรมรองเท้าหนังอย่างต่อเนื่อง รวมถึงคงสถานะผู้ส่งออกรองเท้าหนังที่สำคัญในเวทีการค้าโลกในระยะยาวต่อไป