‘ส.ขอนแก่น’โชว์ผลงานครึ่งปีแรกสุดแกร่ง กำไรพุ่ง 51%

ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ โชว์ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก เติบโตแข็งแกร่ง กวาดรายได้กว่า 893 ล้านบาท ดันกำไรสุทธิพุ่ง 41 ล้านบาท คิดเป็นเติบโต 51.23%  หลังเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวผลิตภัณฑ์อาหารขบเคี้ยวที่แปรรูปจากเนื้อหมูและเนื้อไก่ภายใต้แบรนด์ ‘อองเทร่’ และ ‘มูชิ’ ขณะที่ธุรกิจอาหารแปรรูปและร้านอาหารบริการด่วน ‘แซบ เอ็กซ์เพรส’ สดใส เดินเครื่องช่วงครึ่งปีหลัง ลุยออกผลิตภัณฑ์อาหารขบเคี้ยวไซส์เล็ก กระตุ้นการซื้อสินค้า พร้อมผุดสาขาร้านอาหารบริการด่วน อีก 3 สาขา ดันเป้าสิ้นปีโตไม่ต่ำกว่า 15% แน่นอน

นายเจริญ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SORKON ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 (เมษายน-มิถุนายน 2555) ว่า บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานที่ดีมากจากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 462.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.55 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 419.35 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 18.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.42 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.42% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีที่ก่อน ซึ่งบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 16.86 ล้านบาท 

ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 (มกราคม-มิถุนายน 2555) บริษัทฯ มีรายได้รวม 893.72  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89.47 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 11.12%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่บริษัทฯ มีรายได้รวม 804.25 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 41.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.89 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 51.23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่บริษัทฯมีกำไรสุทธิ  27.11 ล้านบาท  

ทั้งนี้ ทั้งรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น มาจากการให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาสินค้ากลุ่มอาหารขบเคี้ยวแปรรูปจากเนื้อหมูและเนื้อไก่ภายใต้แบรนด์ ‘อองเทร่’ และล่าสุดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้เซ็นสัญญาแต่งตั้งบริษัทเพนส์ มาร์เก็ตติ้งแอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ‘มูชิ’ ซึ่งพร้อมออกวางตลาดในเดือนกันยายน รองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เลือกผลิตภัณฑ์อาหารขบเคี้ยวที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและมีรสชาติที่ดี ส่งผลให้รายได้และกำไรในผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น

ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นปลา ยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี เป็นผลให้บริษัทฯ ลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตลูกชิ้นปลาเป็น 13,000 ตันต่อปี ขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตรายลูกชิ้นปลารายใหญ่ที่สุดของโลก ส่วนกลุ่มธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนภายใต้แบรนด์ ‘แซบ เอ็กซ์เพรส’ มีการเติบโตที่ดีเช่นกัน โดยคาดว่าภายในปีนี้ จะเปิดให้ครบ 6 สาขา และในปี 2556 จะเริ่มเปิดขายแฟรนไชส์ให้แก่นักลงทุนที่สนใจอีกด้วย

“ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 2 และงวดครึ่งปีแรกของปี 2555 ถือว่ามีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งมาก และเป็นกำไรจากผลการดำเนินงานที่แท้จริง ไม่ได้มีรายการพิเศษหรือเกี่ยวข้องกับการขายหุ้นไขว้ในบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท เอส เค เค ฟู้ด จำกัด และบริษัท มหาชัยฟู้ด โปรเซสซิ่ง จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ย่อยทั้งสองบริษัทได้ขายหุ้นของบริษัทส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ที่ถืออยู่ออกไปในสัดส่วนรวม 19.2% ทำให้มีกำไรก่อนหักภาษีกว่า 40 ล้านบาท ซึ่งได้ถูกบันทึกไว้ในงบดุลในรายการส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญแล้ว ดังนั้น ต้องบอกว่า ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกนั้น เป็นผลงานจริงของบริษัทฯ  ที่สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจของ ส.ขอนแก่น ในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งพัฒนาสินค้าใหม่ที่มุ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ที่เพิ่มกำไรต่อหน่วย ซึ่งสามารถผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานให้กับบริษัทฯ ได้อย่างแข็งแกร่งแบบยั่งยืน” นายเจริญ กล่าว

ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มีแผนจะผลักดันยอดขายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารขบเคี้ยว   แบรนด์อองเทร่ และแบรนด์มูชิ โดยออกผลิตภัณฑ์ซองขนาดเล็กราคา 5-10 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่ซื้อง่ายขายคล่องโดยจะวางจำหน่ายผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ร้านโชว์ห่วย ทั่วประเทศ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนเพิ่มสาขาร้านแซบ เอ็กซ์เพรส อีก 2 สาขาภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันมีอยู่ 4 สาขา และพัฒนาเมนูอาหารใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายต่อคนต่อครั้งเพิ่มเป็น 160-170 บาท รวมถึงเตรียมความพร้อมในการขยายสาขารูปแบบแฟรนไชส์ ที่คาดว่าจะเริ่มได้ภายในปี 2556 โดยมีเป้าหมายเปิดเพิ่มเป็น 200 สาขา ภายใน 3 ปี

ทั้งนี้ คาดว่า จากแผนดำเนินงานดังกล่าว จะส่งผลดีต่ออัตราการเติบโตของบริษัทฯ โดยเฉพาะในไตรมาส 3 ได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้ผลประกอบการในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ว่า จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 15% อย่างแน่นอน