กสิกรไทยจัด Business Matching สร้างเครือข่ายเสริมกลยุทธ์ธุรกิจเอสเอ็มอีไทย-จีน

กสิกรไทยมองภาพรวมการค้าการลงทุนธุรกิจเอสเอ็มอีไทย-จีนยังไปได้ดี จัดกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ สร้างเครือข่ายและหากลยุทธ์เพื่อเพิ่มมูลค่าทางการค้าระหว่างกัน เน้นธุรกิจค้ามันสำปะหลังซึ่งมีแนวโน้มการส่งออกไปยังจีนสูงขึ้น คาดจะสามารถกระตุ้นการส่งออกมันสำปะหลังไปยังจีนในปีนี้ได้ถึง 1 ล้านตัน มูลค่าราว 7,000 ล้านบาท

นายพิพิธ เอนกนิธิ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมการค้าระหว่างไทยกับจีนในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าการค้าสูงถึง 78,684.81 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2.08 ล้านล้านบาท สูงขึ้นจากปี 2554 ร้อยละ 12.5 โดยปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้จีนมีการลงทุนทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนประกอบกับการผลักดันแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติจีนที่จะใช้ระหว่างปี 2554-2558 ซึ่งมุ่งไปที่การเปลี่ยนชนบทสู่ความเป็นเมือง ส่งผลให้ความต้องการการบริโภคสินค้ามีเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันสินค้าที่คนจีนมีความต้องการมากชนิดหนึ่ง คือ มันสำปะหลัง ซึ่งถือเป็นสินค้าที่จีนนำเข้ามาจากไทยสูงเป็นอันดับ 6 คิดเป็นมูลค่าการส่งออกในปี 2555 อยู่ที่ประมาณ 1,496.33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวจากปี 2554 ร้อยละ 10.10 ครองส่วนแบ่งทางการตลาดในจีนได้ถึงร้อยละ 68.9 ของมูลค่าการนำเข้ามันสำปะหลังทั้งหมดของจีน และคาดว่าในปี 2556 จะขยายตัวในอัตราร้อยละ 14-18

ด้วยปัจจัยหนุนดังกล่าว ทำให้ธนาคารกสิกรไทยซึ่งสนับสนุนกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจระหว่างนักธุรกิจไทยและนักธุรกิจจีน (Sino-Thai Business Matching) ด้วยการนำคู่ค้ามาพบกันผ่านความร่วมมือของเหล่าพันธมิตรเพื่อให้เกิดการค้าการลงทุนอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ให้ผู้ประกอบการไทยมีความมั่นใจและเข้าใจการทำธุรกิจในประเทศจีน อีกทั้งยังเป็นการสนองนโยบายของรัฐบาลจีนที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการจีนออกมาลงทุนในต่างประเทศซึ่งจะนำไปสู่ความสัมพันธ์อันดีทางการค้าและก่อให้เกิดมูลค่าทางธุรกิจระหว่างไทย-จีนในอนาคต รวมถึงยังเป็นการสร้างโอกาสให้ประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางในการขยายตลาดเข้าสู่ AEC ที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย

ด้านนายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีลูกค้าผู้ประกอบการจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสาเหตุหลักมาจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีวัตถุดิบทางเกษตรกรรมอยู่จำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการจีนต้องการเข้ามาลงทุนในไทยเพื่อจะได้อยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ ซึ่งจะง่ายต่อการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบก่อนส่งออกไปยังประเทศจีน อีกทั้งในปัจจุบันประเทศจีนมีกฎหมายสั่งห้ามนำธัญพืชหลัก 5 ประเภทมาใช้ผลิตในอุตสาหกรรม เนื่องจากจีนกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร เพราะจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นประเทศในอันดับต้นๆ ที่ส่งออกมันสำปะหลังไปยังประเทศจีนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะมันเส้น ด้วยมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,074 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2555 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 98 ของมูลค่าการส่งออกมันสำปะหลังทั้งหมดของไทย และไทยสามารถครองมูลค่าส่วนแบ่งตลาดในจีนได้ถึงร้อยละ 69.7 ของมูลค่าการนำเข้ามันสำปะหลังทั้งหมด เนื่องจากมันสำปะหลังของไทยมีคุณภาพเป็นที่ต้องการของคนจีน

สำหรับการซื้อขายมันสำปะหลังระหว่างผู้ประกอบการไทยและจีนในปัจจุบันจะเป็นการซื้อขายผ่านพ่อค้าคนกลาง ผู้ประกอบการจีนจึงรู้จักลูกค้าไทยที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับมันสำปะหลังน้อยราย ส่งผลให้ได้รับสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ในขณะที่ทางผู้ประกอบการไทยเองก็มีความต้องการที่จะหาคู่ค้าที่รับซื้อมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น ธนาคารมองเห็นถึงโอกาสในการช่วยจับคู่ธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทยและจีน โดยทำเป็นกิจกรรม Business Matching ให้คู่ค้าได้มาเจอกัน โดยกิจกรรมดังกล่าวจะสามารถเพิ่มโอกาสที่จีนจะนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยในปีนี้สูงถึง 1 ล้านตัน ซึ่งจะสร้างรายได้เข้าประเทศไทยกว่า 7,000 ล้านบาท

นายพัชร กล่าวในตอนท้ายว่า กิจกรรม Business Matching ที่ธนาคารจัดให้กับคู่ค้า SME ไทยและจีนจะมีการจัดกิจกรรมต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่เครือข่ายอุตสาหกรรมประเภทพืชไร่ เช่น ยางพาราและลำไยอบแห้งเป็นหลัก เพราะถือว่าเป็นสินค้าที่ยังเป็นต้องการของตลาดจีน อีกทั้งจากการสอบถามยังพบว่าผู้ประกอบการไทยหลายรายมีศักยภาพมากพอที่จะไปค้าขายในตลาดจีน ในขณะที่ผู้ประกอบการจีนก็มีแนวโน้มที่จะเข้ามาลงทุนค้าขายกับไทยอีกจำนวนมาก ซึ่งหากธนาคารสามารถช่วยสร้างเครือข่ายธุรกิจให้แข็งแกร่งและแน่นแฟ้นได้จะเป็นการช่วยให้เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างมั่นคงแน่นอน