‘ผลิตภัณฑ์ตราเพชร’ ผงาดเจ้าตลาดอิฐมวลเบา ตั้งบริษัท ไดมอนด์ วัสดุ จำกัด (Diamond Materials Co.Ltd.) ซื้อกิจการโรงงานอิฐมวลเบามูลค่า 200 ล้านบาท กำลังการผลิต 1.5 ล้านตารางเมตรต่อปี เดินเครื่องผลิตสินค้าในแบรนด์ตราเพชรได้ทันที หนุนกำลังการผลิตรวมพุ่ง 5.2 ล้านตารางเมตรต่อปี วางยุทธศาสตร์ใช้เป็นฐานการผลิตอิฐมวลเบาเพื่อจำหน่ายในเขตพื้นที่ภาคเหนือ รองรับการเติบโตตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ ขยับรายได้จากการจำหน่ายอิฐมวลเบาโดยรวมเพิ่มขึ้น 40% หนุนเป้ารายได้รวมโต 15% จากปีก่อน
นายอัศนี ชันทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ “DRT” ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ พื้นไม้ลามิเนต แผ่นบอร์ด ยิปซัม และบริการหลังการขาย ภายใต้แบรนด์ ‘ตราเพชร’ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2556 ได้อนุมัติจัดตั้งบริษัท ไดมอนด์ วัสดุ จำกัด (Diamond Materials Co.Ltd.) เป็นบริษัทย่อย ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เพื่อเข้าดำเนินการซื้อกิจการโรงงานอิฐมวลเบาของบริษัท พีซีซี ออโต้เคลฟคอนกรีต จำกัด ตั้งอยู่ที่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีกำลังการผลิตรวม 1.5 ล้านตารางเมตรต่อปี
ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าว ได้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและการทำตลาดอิฐมวลเบาตราเพชร โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือ ที่มีอัตราการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ดี และมีการหันมาใช้อิฐมวลเบาก่อสร้างผนังทดแทนอิฐมอญ เพื่อช่วยควบคุมด้านต้นทุนการก่อสร้างทั้งค่าแรงและระยะเวลาก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“การลงทุนครั้งนี้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจของ DRT ที่จะลงทุนในด้านที่เกี่ยวข้องกับวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้มีสินค้าหลากหลาย ครบถ้วน พร้อมจะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ในแบรนด์เดียว โดยอิฐมวลเบานั้น ตราเพชรก็ได้ลงทุนสร้างโรงงานใหม่ไปแล้ว เมื่อรวมกับการเข้าซื้อโรงงานแห่งนี้ จะทำให้มีกำลังการผลิตอิฐมวลเบารวม 5.2 ล้านตารางเมตรต่อปี สามารถรองรับความต้องการใช้อิฐมวลเบาที่มีอัตราการขยายตัว 20-25% ต่อปี” นายอัศนี กล่าว
กรรมการผู้จัดการ บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร กล่าวด้วยว่า การตั้งบริษัทย่อยและเข้าซื้อโรงงานอิฐมวลเบาครั้งนี้ ใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ซึ่งจะได้รับตอบแทนกลับคืนมาทันที เพราะโรงงานนี้รับจ้างผลิตอิฐมวลเบาอยู่แล้ว เป็นโรงงานที่มีมาตรฐานการผลิตสูง โดย DRT วางแผนที่จะใช้โรงงานดังกล่าวเป็นฐานผลิตอิฐมวลเบาเพื่อจำหน่ายในเขตพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด ซึ่งรายได้จากโรงงานที่ซื้อเข้ามาใหม่นี้ คาดว่าจะทำได้ประมาณ 100 ล้านบาทในปีนี้ ส่วนโรงงานอิฐมวลเบาที่สระบุรี จะเป็นฐานผลิตสินค้าเพื่อป้อนความต้องการสินค้าในเขตภาคกลาง ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการด้านการผลิตและการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำยอดขายและกำไรจากการดำเนินธุรกิจอิฐมวลเบาให้สูงที่สุด ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายของอิฐมวลเบาจะหนุนให้รายได้รวมของบริษัทในปี 2556 นี้เติบโต 15% จากปีก่อน