แบรนด์ไทยขี่กระแส Selfie ต่อยอดสินค้า-แคมเปญตลาด

ยังฮิต…ปรากฏการณ์ของคนที่ชอบถ่ายภาพตัวเองแชร์ลงโซเชียลมีเดีย ทำให้ค่ายสมาร์ทโฟนอย่าง OPPO และไอโมบาย ต้องออกสมาร์ทโฟนรุ่น Selfie มาแล้ว ส่วนค่ายเครื่องดื่มของไทย งัดโปรโมชั่น ประกวดถ่ายภาพรับกับกระแส Selfie เอเยนซี่คาดกระแสปีนี้อาจตีกลับเน้นถ่ายภาพเพื่อสังคมแทน

ด้วยกระแสโซเชียลมีเดียที่มาแรงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายคนใช้โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ในการแสดงตัวตนค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์รูปภาพ หรือข้อความผ่านเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม ทำให้เกิดกระแสใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า “Selfie”

Selfie เป็นปรากฏการณ์ของเหล่าบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวรวมไปถึงเซเลบริตี้ ถ่ายรูปตัวเองผ่านสมาร์ทโฟนแล้วแชร์ลงโซเชียลมีเดีย รวมไปถึงการถ่ายรูปตัวเองหน้ากระจกก็เรียกรวมกันว่าเป็น Selfie เช่นกัน ในขณะที่ถ้าถ่ายรูปเป็นกลุ่มจะเรียกว่า Group Selfies แต่ในวงการบันเทิงเกาหลีส่วนใหญ่จะเรียกว่า Selca ซึ่งย่อมาจากคำว่า Self Camera

กระแสความฮิตของ Selfie นั้น ถึงขั้นได้รับเลือกให้กลายเป็น Word of The Year ประจำปี 2013 โดย Oxford English Dictionary โดยในปี 2013 มีการใช้คำนี้เพิ่มขึ้นถึง 17,000%เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และในอินสตาแกรมก็มีภาพที่ติดแฮชแท็ก #selfie ถึง 62.8 ล้านภาพ

แม้คำว่าเซล์ฟฟี่จะเป็นที่ฮอตฮิตในปัจจุบัน แต่ทาง The Guardian หนังสือพิมพ์ชื่อดังจากเมืองผู้ดีอังกฤษได้เปิดเผยว่า Selfie มีมาตั้งแต่ปี 2002 แล้ว จากบทความออนไลน์ของหนุ่มชาวออสเตรเลีย ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้สมาร์ทโฟนถ่ายรูปโดยกล้องหน้า และแชร์ลงโซเชียลมีเดีย ทำให้กระแส Selfie ดังเป็นพลุแตกขึ้นมา

Izzi gadgets บริษัทผลิตแกดเจ็ตสำหรับถ่ายรูปบนสมาร์ทโฟนสัญชาติอเมริกัน ได้จัดอันดับ 5 เหตุผลที่คนเราต้องถ่ายภาพเซล์ฟฟี่นั่นคือ 1. เพื่อเก็บภาพความประทับใจไว้เป็นที่ระลึก 35% 2. เพื่อเก็บภาพตลกสนุกสนาน 34% 3. เพื่อเก็บภาพการแต่งกายที่ดูดีในแต่ละวัน 15% 4. เก็บภาพทรงผมสุดเก๋ 14% 5. เพื่อเสริมเซลฟ์ตัวเอง 13%

ในขณะที่ผลการวิจัยของนักจิตวิทยาชาวอเมริกันมองว่า คนที่ชอบถ่ายรูปตัวเองกำลังแสดงออกว่าตนเองมีปมด้อยเล็กๆ ในใจ ต้องการสร้างตัวตนเพื่อให้คนอื่นสนใจ และได้รับฟีดแบ็กเช่นการกดไลค์หรือคอมเมนต์ในแง่บวกเท่านั้น ซึ่งคนที่โพสต์รูปเซล์ฟฟี่ลงในโซเชียลมีเดียบ่อยๆ อาจจะเสี่ยงต่อการถูกสังคมรังเกียจได้ด้วย เพราะมนุษย์เราเกิดมามีสัญชาตญาณของการแข่งขันอยู่ โดยธรรมชาติแล้วคนเราจะไม่ชอบเห็นใครเด่นกว่าตนเอง ยิ่งเห็นภาพของใครสวยกว่า เด่นกว่า ยิ่งทำให้เกิดการอิจฉาได้

กระแส Selfie ยังแรงต่อเนื่อง

ถึงจะขึ้นปี 2014 แล้ว แต่กระแสเซล์ฟฟี่ก็ยังฮอตไม่เลิก ล่าสุดจัดการแข่งขัน 党Selfie Olympics・ขึ้นมาต้อนรับ Sochi Olympics 2014 ที่ประเทศ Russia โดยให้ครีเอตรูปเซล์ฟฟี่ที่คิดว่าเจ๋งที่สุด แล้วอัปโหลดลงอินสตาแกรมหรือทวิตเตอร์ จากนั้นให้แฮชแท็ก #selfieolympics หรือ #selfiegame ซึ่งตอนนี้มีภาพทั้งหมด 5.1 หมื่นภาพ

สมาร์ทโฟนตอบรับกระแสเซล์ฟฟี่

ด้วยเหตุนี้เองจึงเกิดโอกาสทางการตลาดเพื่อตอบสนองพฤติกรรม “Selfie” ของผู้บริโภค สมาร์ทโฟนยี่ห้อต่างๆ ต่างพัฒนาโปรดักต์ของตนเองชนิดที่ว่าให้ชาวเซล์ฟฟี่ถ่ายรูปตัวเองได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยเน้นที่คุณภาพของกล้องถ่ายรูปให้มีความคมชัด โดยเฉพาะกล้องหน้า (Front Camera)

{C}

{C}

{C}

สมาร์ทโฟนตัวแรกที่เอาใจสาวกเซล์ฟฟี่คือแบรนด์จากจีนแผนดินใหญ่ นั่นคือ OPPO ที่ออกสมาร์ทโฟนรุ่น OPPO N1 ชูความเป็น Camera Phone อย่างแท้จริง ที่เปิดตัวพร้อมๆ กับช่วงที่ Oxford English Dictionary คัดเลือก Selfie ให้เป็นคำแห่งปี 2013 พอดิบพอดี

OPPO N1 ตัวนี้ เป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์ปัญหากล้องหน้าไม่ชัด เนื่องจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาดส่วนใหญ่จะมาพร้อมกล้องหน้าที่มีความละเอียดเพียง 3 แสนพิกเซลเท่านั้น แน่นอนว่าชาวเซล์ฟฟี่ที่ถ่ายรูปออกมาต้องนำเข้าศัลยกรรมผ่านแอปพลิเคชั่นอีกขั้นตอนหนึ่งก่อนที่จะแชร์สู่โซเชียลมีเดียได้

สมาร์ทโฟนตัวนี้มาพร้อมกับกล้องถ่ายรูปที่มีความละเอียดถึง 13 ล้านพิกเซล และใช้เป็นทั้งกล้องหน้า และกล้องหลังได้ในตัวเดียว โดยการหมุนได้ 206 องศา นับว่าเป็นกล้องหน้าที่มีคุณภาพสูงกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นในท้องตลาดทั่วไป อีกทั้งยังมาพร้อมแฟลช สามารถถ่ายภาพในที่มืดได้

นอกจากนั้นยังมีการใส่โหมด Beauty มาให้สำหรับแต่งภาพ สามารถทำให้หน้าใสขึ้นมาได้ หรือจะเลือกแต่งเฉพาะจุด อย่างเช่น ปาก หรือดวงตาก็ได้ ทาง OPPO ได้ใส่ฟีเจอร์ที่ตอบความต้องการทั้งเรื่องกล้องถ่ายรูปและแอปพลิเคชั่นแต่งรูปได้อย่างตรงจุด ซึ่งตอนนี้ได้วางขายแล้วในหลายประเทศ และเป็นที่นิยมในยุโรปเช่นกัน

{C}

{C}

 

สมาร์ทโฟนอีกตัวหนึ่งเป็นของแบรนด์ไทยอย่าง i-Mobile IQX3 ซึ่งออกตัวเลยว่า สามารถทำให้ชาวเซล์ฟฟี่ “หลงรูปตัวเอง” ได้ทันทีที่ถ่ายรูป เปิดตัวพร้อมกับโฆษณาทางโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตของชาวเซล์ฟฟี่ได้อย่างแท้จริง ด้วยการเสพติดการถ่ายรูป

ด้วยคุณสมบัติที่มาพร้อมกล้องหลัง 18 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล ซึ่งกล้องหน้าตัวนี้มีความพิเศษที่มาพร้อมแฟลช และเทคโนโลยี Wide view angle สามารถเก็บภาพมุมมองกว้าง 88 องศา

ไฮไลต์ของ i-Mobile ตัวนี้จึงอยู่ที่แฟลชที่นำมาไว้บนกล้องหน้าเป็นครั้งแรก ทำให้สามารถถ่ายตอนกลางคืนหรือในที่แสงน้อยได้อย่างสบาย จุดน่าสนใจอยู่ที่โหมด Beauty face หรือเรียกง่ายๆ ว่า “แฟลชหน้าเนียน” ที่ตอบสนองการใช้งานของสาวๆ ที่เสพติดการถ่ายเซล์ฟฟี่ได้เป็นอย่างดี เพราะทำให้หน้าดูเนียนใส และสีจะนวลตายิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีลูกเล่นของในการปรับรูปให้ หน้าบีบ, ตาโต, ปากใหญ่, จมูกโต หรือปากจู๋ ก็ได้

ต้องบอกว่าสมาร์ทโฟนในยุคนี้ต้องมีฟังก์ชันรอบด้านจริงๆ ถึงจะมัดใจผู้บริโภคให้อยู่หมัด ถ้าจะเล่นเรื่องกล้องถ่ายรูป ก็ต้องตอบโจทย์การถ่ายภาพให้หมดทั้งกล้องและการแต่งภาพ ถ้าจะบอกว่าสมัยนี้แค่ “แชะแล้วแชร์” อย่างเดียวคงไม่พอ เพราะหัวใจหลักของเหล่าเซล์ฟฟี่ยุคนี้ ก็อยู่ที่การ “แชะ – แต่งภาพ – แชร์”

เซล์ฟฟี่สู่การตลาดแบบบอกต่อ

เมื่อโลกออนไลน์เข้ามามีบทบาทในการทำการตลาดมากขึ้น นักการตลาดต้องเรียนรู้พฤติกรรมจากผู้บริโภคเพื่อให้เกิดการสื่อสารร่วมกัน ทั้งแบรนด์ได้สื่อสารสู่ผู้บริโภค และผู้บริโภคได้รับข่าวสารจากแบรนด์ได้เต็มที่ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ในประเทศไทยเองก็มีหลายแคมเปญที่เกิดจากกระแสเซล์ฟฟี่เป็นจุดเริ่มต้น นั่นคือแคมเปญการตลาดโดยให้ผู้บริโภคร่วมสนุกโดยการถ่ายรูปตนเองพร้อมกับสินค้าแล้วแชร์ลงโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม ซึ่งสองสื่อนี้เป็นตัวเชื่อมต่อชั้นดีระหว่างผู้บริโภคและแบรนด์สินค้า

{C}

{C}

 

ยกตัวอย่าง 2 แคมเปญที่ใช้เซล์ฟฟี่เป็นกระบอกเสียง แคมเปญแรกเป็นแคมเปญโกลบอลยักษ์ใหญ่จากโค้ก “Share a Coke” แค่ขวดหรือกระป๋องโค้กที่มีชื่อเล่นเพื่อนหรือตนเองก็สามารถเล่นกับกระแสแชะและแชร์ได้อยู่แล้ว แต่โค้กกระตุ้นการโปรโมตเข้าไปอีกระดับโดยการให้ผู้บริโภคร่วมสนุกถ่ายรูปคู่ข้อความบนกระป๋องหรือขวดโค้ก แล้วแชร์ลงในแฟนเพจ Coca Cola พร้อมติดแฮชแท็ก #ShareaCokeTH ลงไปด้วย

ส่วนแคมเปญที่ 2 เป็นน้ำดื่มน้องใหม่ “อีฟ ฟรุตตามิน” ซึ่งใช้กติกาเดียวกันนั่นก็คือ ให้ถ่ายรูปตนเองพร้อมขวดอีฟ ฟรุตตามิน แล้วแชร์ลงแฟนเพจหรืออินสตาแกรม พร้อมติดแฮชแท็ก #ifFruitamin

{C}

{C}

 

ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าการตลาดแบบบอกต่อมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างการยอมรับได้มากกว่าสื่อโฆษณาชนิดอื่นๆ ซึ่งการใช้สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือในการทำตลาดก็นับว่ามีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุดในขณะนี้ แล้วยิ่งเล่นกับไลฟ์สไตล์ที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้แล้วล่ะก็ ผู้บริโภคเหล่านี้ก็ยอมที่จะตกเป็นเครื่องมือของการตลาด เป็นกระบอกเสียงชั้นดีให้กับแบรนด์สินค้า ก็ถือว่า Win-Win กันทั้งสองฝ่าย

กระแสสวนกลับ Selfie

อย่างไรก็ตาม วฤตดา วรอาคม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านนวัตกรรม แมคแคน เวิล์ดกรุ๊ป ได้ให้ความเห็นว่า “ที่จริงเซล์ฟฟี่เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2555 แล้ว แต่เพิ่งมาเป็นกระแสหนักๆ ก็ในช่วงปีที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งพฤติกรรมในเมืองไทยกับเมืองนอกก็ไม่ได้ต่างกันมาก เพราะเป็นเรื่องของการโชว์สิ่งที่ตัวเองมี ต้องการได้รับความสนใจ และได้รับการตอบรับที่ดีจากคนในโซเชียล เป็นเรื่องของการบ้าถ่ายรูปตัวเอง และโพสต์รูปผ่านประสบการณ์ที่เจอ ถามว่ากระแสตอนนี้มันก็ยังอยู่ แต่ก็เริ่มมีกระแสตีกลับที่เกิดขึ้นมาบ้าง ไม่ให้คนลุ่มหลงตัวเอง ให้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง และบางคนก็จะเริ่มเบื่อการโพสต์รูปเดิมๆ ของคนในโซเชียล กระแสสวนกลับก็เลยเป็นว่า เอาเวลาไปทำในสิ่งที่มีประโยชน์ดีกว่า

Did You Know
– ภาพที่โพสต์ผ่านอินสตาแกรมและติดแฮชแท็ก #selfie เป็นภาพแรก ได้โพสต์โดยชื่อยูสเซอร์ที่ชื่อ Jennifer Lee เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2011 นับว่าเป็นจุดเริ่มของภาพเซล์ฟฟี่อีกนับล้านภาพในปัจจุบัน
– ยาฮู ประเมินว่าในปี 2014 จะมีภาพ Selfie ถูกโพสต์ 880 พันล้านรูป
– มีการสร้างแฮชแท็กเกี่ยวกับ Selfie ทั้งหมด 50 แฮชแท็ก โดยมีแยกเป็นรายวันแบบ #selfiesunday #selfiemonday อีกด้วย