เอไอเอส เดินหน้ายกระดับมาตรฐาน Startup ให้ก้าวไปอีกขั้น เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้คนรุ่นใหม่ เปิดฉาก “AIS The StartUp 2014” เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน เพิ่มดีกรีการสนับสนุนเข้มข้นยิ่งขึ้น ฉีกทุกรูปแบบการแข่งขัน มุ่งเฟ้นหา iCP (Incubated Content Partner) มาร่วมเป็นดิจิตอลพาร์ทเนอร์กับเอไอเอส โดยเปิดโอกาสให้นักคิด นักสร้างสรรค์ รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย ที่มีผลิตภัณฑ์ในมือพร้อมที่จะต่อยอดธุรกิจ ร่วมส่งผลงานเข้าแข่งขันใน 3 หมวด ได้แก่ Online/ Digital Content, Corporate Solution และ Social Businessเพื่อพัฒนาและนำผลงานออกสู่ตลาดจริง ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเอไอเอสและพันธมิตรทั้งไทยและเทศที่มีช่องทางเข้าถึงฐานลูกค้ากว่า 500 ล้านรายในภูมิภาค รวมมูลค่ารางวัลกว่า 39 ล้านบาท
นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิตอล เอไอเอส เปิดเผยว่า “เอไอเอสเป็นผู้ริเริ่มโครงการสนับสนุนกลุ่ม Startup ในประเทศไทย ด้วยเล็งเห็นถึงศักยภาพและพลังของคนรุ่นใหม่ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิตอล และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแห่งโลกไอที โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ถือว่าโครงการ AIS The StartUp ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก สร้างผู้ประกอบการดิจิตอลหน้าใหม่ ที่มีแอพพลิเคชั่นและบริการออกมาให้บริการกับผู้ใช้มือถือเป็นจำนวนมาก อาทิ ทีม ShopSpot, Noonswoon, the Trip Packer, Buzzebees, FOURLEAF ฯลฯ อีกทั้ง ยังสร้างแรงผลักดันให้องค์กรต่างๆ หันมาร่วมกันส่งเสริมกลุ่ม Startup ในวงกว้างยิ่งขึ้นด้วย
ปัจจุบันเทรนด์ของ Startup ยังคงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก สำหรับประเทศไทยเอง พัฒนาการของ Startup ได้ผ่านช่วงเวลาของการเริ่มต้นมาแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นของการเติบโต ในปีนี้เอง โครงการ “AIS The StartUp 2014” ในธีม Growing with Partnership จึงตั้งใจปรับรูปแบบการสนับสนุนไปอีกขั้น โดยมีเป้าหมายไปที่กลุ่มนักคิด นักพัฒนา หรือผู้ประกอบการรายย่อย ที่มีผลิตภัณฑ์หรือผลงาน พร้อมที่จะต่อยอดธุรกิจไปสู่ตลาดได้จริง ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเอไอเอสและพันธมิตร รวมมูลค่ารางวัลกว่า 39 ล้านบาท โดยไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การได้ร่วมเป็น iCPหรือ Incubated Content Partner หรือคอนเทนต์พาร์ทเนอร์ที่ได้รับการบ่มเพาะจากเอไอเอสอย่างเต็มที่ ภายใต้ Business Model ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อกลุ่ม Startup พร้อมทั้งการสนับสนุนจากกลุ่ม Regional Seed Network (RSN) ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรในเครือ SingTel ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อผลักดัน Startup ในเครือให้ก้าวไปสู่ระดับภูมิภาคอย่างจริงจัง”
นายไพโรจน์ ไววานิชกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริการเสริม เอไอเอส กล่าวเสริมว่า “เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการบริโภคดิจิตอลคอนเทนต์ ที่ขยายรูปแบบหลากหลายกว่าเดิม ไม่จำกัดอยู่เพียงเฉพาะบน Mobile Application แต่มองกว้างไปถึง Solution ที่สามารถตอบสนองการใช้งานและแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันได้ ดังนั้น AIS The StartUp 2014 จึงเพิ่มโอกาสให้กับกลุ่ม Startup ที่มีไอเดียหลากหลายได้มากกว่าเดิม โดยแตกไลน์ประเภทของการแข่งขัน เป็น 3 หมวด ประกอบด้วย
1. หมวด Online และ Digital Content ที่มีตลาดเป็นผู้ใช้บริการเป็นวงกว้าง (Mass Customer) และต้องมีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน ตัวอย่างเช่น Mobile App, Digital Content ที่ใช้งานผ่านอุปกรณ์ดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์สื่อสารต่างๆ
2. หมวด Corporate Solution ที่ช่วยในการสนับสนุน หรือจัดการองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีลูกค้าเป้าหมายเป็นองค์กร ห้างร้าน (Enterprise)
3. หมวด Social Business มีผลิตภัณฑ์หรือบริการ และเป้าหมายหลักเป็นไปเพื่อสร้างสรรค์สังคม และมีโมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นนำกำไรไปใช้ในการแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาสังคมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง”
ผู้สนใจสามารถส่งผลงานเป็นวิดีโอพรีเซนเตชั่น ความยาวไม่เกิน 3 นาที นำเสนอแนวคิดทางธุรกิจ, แผนการดำเนินธุรกิจ, วิธีการใช้งาน, การสร้างรายได้, กลุ่มเป้าหมาย รวมถึงประโยชน์ที่ลูกค้าเอไอเอสจะได้รับ โดยเข้ามากรอกใบสมัครที่ www.ais.co.th/thestartup2014 พร้อมแนบ URL ของ VDO มาด้วย ตั้งแต่วันนี้ – 23 มีนาคม 2557 โดยผู้สมัครจะเป็นบุคคลหรือบริษัท ชาวไทยหรือต่างชาติก็ได้ และสามารถส่งผลงานได้มากกว่า 1 ผลงาน โดยประกาศผลงานที่ได้เข้ารอบ Final Presentation ในวันที่ 29 มีนาคม 2557 เพื่อให้ผู้ที่เข้ารอบนำเสนอผลงานต่อหน้าคณะกรรมการ ในวันที่ 8-10 เมษายน 2557 และประกาศผลรางวัลชนะเลิศพร้อมรับมอบรางวัลในวันที่ 21 เมษายน 2557
โดยสิ่งที่ Startup จะได้รับ นอกเหนือจากเงินรางวัล และเครื่องมือสนับสนุนการสร้างธุรกิจให้เป็นจริงแล้ว ยังได้รับโอกาสในการสร้างธุรกิจร่วมกับเอไอเอส รวมมูลค่ากว่า 39 ล้านบาท ทั้งนี้ รางวัลและสิทธิพิเศษที่ผู้ชนะเลิศในแต่ละหมวดจะได้รับ คือ เงินทุนพัฒนา จำนวน 200,000 บาท, ร่วมเป็น iCP พัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดจริงกับเอไอเอส โดยได้รับการลดหย่อนกฏเกณฑ์ต่างๆ อาทิ ค่าแรกเข้า, รายได้ประกันขั้นต่ำ เป็นต้น, สื่อทางการตลาด มูลค่า 1,000,000 บาท และการสนับสนุนจากพันธมิตรอีกมากมาย ได้แก่ สิทธิพิเศษจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติในการพิจารณาให้ทุนสนับสนุนโครงการนวัตกรรมเป็นกรณีพิเศษ, ที่ปรึกษาด้านการลงทุน จาก Golden Gate Ventures และ Expara, Microsoft Bizspark พร้อมทั้ง Windows Azure เครดิตมูลค่า USD 60,000 ฟรีในปีแรก และ ลดราคาพิเศษ 50% ในปีที่ 2, Amazon Web Service (AWS) เครดิตมูลค่า USD3,000, พื้นที่ออฟฟิศทำงาน ฟรี 3 เดือน จาก HUBBA, ส่วนลดราคาพิเศษพื้นที่ออฟฟิศทำงาน จากLaunchpad และพิเศษสำหรับผู้ชนะในหมวด Social Business จะได้รับการสิทธิพิจารณาสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก Change Fusion นอกจากนี้ ยังมีรางวัลพิเศษจากธนาคารกสิกรไทยจะคัดเลือกผลงานให้ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ “SME มีตังค์เยอะ” จำนวน 1 รางวัล
นอกจากนี้ ทุกๆทีมที่ผ่านเข้ารอบนำเสนอผลงานต่อหน้าคณะกรรมการจะได้รับการอบรมด้าน Business Development จาก AIS, ฟรี ค่าธรรมเนียมแรกเข้าสำหรับการเปิดบริการ K-SME Debit Card, ได้รับการยกเว้นค่าบริการและธรรมเนียมในการทำธุรกรรม K-SME บัญชีหลัก, และ การอบรมด้าน Investment Presentation จาก Expara อีกด้วย
“ในครั้งนี้ เอไอเอสได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนเป็นอย่างดี จากหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ Invent, ธนาคารกสิกรไทย, MCFIVA, Golden Gate Ventures, Expara,SIPA, SOFTWARE PARK, สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ, สกส, Change Fusion ตลอดจนพาร์ทเนอร์ด้านสื่อออนไลน์และดิจิตอลในวงการ Startup มาร่วมกันสร้างคอมมูนิตี้กลุ่ม Startup ของประเทศไทยให้เข้มแข็งมากขึ้น
เอไอเอสเชื่อมั่นว่า “AIS The StartUp 2014 Growing with Partnership” จะเป็นการสานต่อแนวทางStartup ที่สามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้เกิดการเติบโตในอุตสาหกรรม Mobile และ ดิจิตอลคอนเทนต์ ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคยุค 3G ที่นิยมใช้งาน DATA มากขึ้นทวีคูณ อีกทั้งเป็นการเดินหน้าไปอีกขั้นในการต้อนรับการเป็นพันธมิตรโดยตรงกับตัวผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น หรือผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเอไอเอสยืนยันว่า เราพร้อมจะสนับสนุน ส่งเสริม ทั้งเทคโนโลยี กลยุทธ์-เทคนิคทางการตลาด ช่องทางการเข้าถึงลูกค้าเอไอเอสที่มีกว่า 41 ล้านรายในปัจจุบัน และผลักดันสู่กลุ่มลูกค้าในระดับภูมิภาคผ่านทาง SingTel Group ที่มีฐานลูกค้ารวมกว่า 500 ล้านรายต่อไป” นายปรัธนากล่าวสรุป