“แมงป่อง” หนึ่งในค้าปลีก “โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนท์” ที่ต้องปรับตัวอย่างหนัก เพื่อรับกับผลกระทบจากโลกดิจิตอล ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคที่เสพสื่อออนไลน์มากกว่าการซื้อแผ่นซีดี อีกทั้งยังมีเรื่องปัญหาเรื่องสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้แมงป่องเจอศึกรอบด้าน และต้องหาทางดิ้นเพื่อความอยู่รอดกันยกใหญ่
ในปี 2557 แมงป่องตัดสินใจก้าวขาออกจากร้านเดิมหนึ่งก้าวเพื่อแตกไลน์ไลฟ์สไตล์ช้อปแบรนด์ ”กิซแมน (Gizman)” ถือเป็นการรีเฟรชแบรนด์ใหม่ให้แมงป่อง และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของแบรนด์เองด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นล้วนเป็นกระบวนการที่แมงป่องต้องปรับตัวเพื่อรับกับกระแส และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ในขณะที่ธุรกิจโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนท์มีแต่จะลดลงๆ เรื่อยๆ
โดยที่กิซแมนยังคงอยู่ในวงการค้าปลีก แต่เป็นสินค้าประเภท “Gadget” สินค้าไอที หรือสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป อย่างเช่น ลำโพง หูฟัง กล้องถ่ายรูป นาฬิกา และจักรยาน เป็นต้น ซึ่งแมงป่องใช้ยุทธศาสตร์ของร้านแมงป่องที่มีอยู่แล้ว 35 แห่ง ในการรีโนเวท “เพิ่ม” กิซแมนเข้าไปแชร์พื้นที่กับร้านแมงป่องเดิมราว 60% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยไม่ต้องเปิดร้านใหม่ ซึ่ง ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 สาขา และตั้งเป้าขยายเพิ่มอีก 15 สาขาภายในปี 2558
แต่ในปีนี้ถือว่าแมงป่องได้กำหนด Positioning ของตัวเองชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม ไฮไลท์ตัวเองว่าเป็น “Lifestyle Retail” อย่างเต็มตัว ที่จะขายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ “ไลฟ์สไตล์” ผู้บริโภค โดยแตกไลน์ธุรกิจ “รีเทลความงาม” เพิ่มอีกหนึ่งขา ในแบรนด์ “สตาร์ดัส (Stardust)” หวังชิงเค้กก้อนโต 200,000 ล้านบาท ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 18%
แม้ธุรกิจจะเติบโตสูง แต่แข่งขันในตลาดที่สูงด้วยเช่นกัน จุดขายที่ “สตาร์ดัส” มองว่าจะฉีกหนีในการหนีคู่แข่งคือ “บริการ” ที่แต่งหน้า บริการทำเล็บ ประเดิมสาขาแรกที่ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
สำหรับร้าน “แมงป่อง” ที่เป็นธุรกิจดั้งเดิมนั้น จะเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิมที่มีลอยัลตี้สูงกับแบรนด์ ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ 200,000 ราย ส่วนสาขาใหม่จะมีสินค้าทั้งแมงป่องและกิซแมนควบคู่กับไป
แมงป่อง ฝากความหวังกับ “สตาร์ดัส”ไว้ว่าจะสร้างรายได้หลักให้บริษัทในสัดส่วนถึง 50% แมงป่อง 35% และกิซแมน 15% จากสัดส่วนรายได้ในปัจจุบันคือแมงป่อง 90% และกิซแมน 10%