“เก๊กหล่อ” ฮึด แจกวันละแสน” สู้ศึกจับเลี้ยง

กลายเป็นศึกที่ร้อนระอุไปแล้วสำหรับชาสมุนไพร และน้ำจับเลี้ยง ที่ต่างมีผู้เล่นรายเก่า และรายใหม่ลงมาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไทยดริงค์ ของค่ายไทยเบฟฯ ก็ได้ส่ง “จับใจ” ลงมาสู้ในตลาด เพื่อรบกับ “เย็น เย็น” จากอิชิตัน ด้วยกลยุทธแบบครบเครื่อง กลยุทธ์ราคา และพรีเซ็นเตอร์ กันอย่างอาวุธครบมือ

ทำให้ “เก๊กหล่อ” แบรนด์น้องใหม่ในตระกูลน้ำจับเลี้ยงเช่นกัน ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้เพียง 4 เดือน จากค่าย รีสเพค วัน เบฟเวอเรจ โดยลูกหม้อเก่าไทยเบฟฯ “สรกฤต ลัทธิธรรม” จึงต้องเร่งสปีดในการทำตลาดเพื่อชิงพื้นที่ในใจผู้บริโภคให้ได้  ด้วยการกระหน่ำอัดโปรโมชั่นกับเขาบ้าง ในแคมเปญ “เก๊กหล่อ เก๊กสวย เก๊กรวยทุกวัน แจกแสนทุกวัน แจกล้านทุกเดือน”

เก๊กหล่อ มองว่า การโพซิชั่นตัวเองว่าอยู่ในตลาด “เอเชียน ดริ้งค์” ระดับพรีเมี่ยม ในราคา 18 บาท ที่มีผู้เล่นแบรนด์ใหญ่คือ “ไอวี่” ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดราว 70-80% จากมูลค่าตลาด 1,500 ล้านบาท เป็นคนละตลาดกับ “ชาสมุนไพร” ผสมจับเลี้ยงอย่างที่สองแบรนด์ใหญ่จับตลาดอยู่  ไม่จำเป็นต้องลงไปเล่นกลยุทธ์เรื่องราคา และการใช้พรีเซ็นเตอร์

แต่ต้องเน้นเรื่องของ “โปรโมชั่น” เพราะหน้าร้อนเป็นช่วงกอบโกยรายได้ ซึ่งการออกโปรโมชั่นครั้งนี้คาดว่าจะกระตุ้นการเติบโตได้ 3-4 เท่า

 

สรกฤต ลัทธิธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท รีสเพค วัน เบฟเวอเรจ จำกัด กล่าวว่า “แต่เรายังงบน้อย อาจจะยังทุ่มทุนแจกเยอะเท่าแบรนด์อื่นไม่ได้ โจทย์หลักของเราคือเน้นจำนวนรางวัลที่แจกให้ได้เยอะที่สุด คือกว่า 3,000 รางวัล และต้องการแจกสิ่งที่ผู้บริโภคได้ใช้จริงๆ คือทองคำ และบัตร 7 Gift Card”

นอกจากนี้ เก๊กหล่อยังหวังว่า การแคมเปญใหญ่ในครั้งนี้ ช่วยให้เข้าถึงช่องทางการขายแบบเทรดดิชั่นนอลเทรด หรือร้านค้าทั่วไป ที่เป็นหัวใจหลักของธุรกิจนี้ กว่า 400,000 ร้านค้า ซึ่งตอนนี้เก๊กหล่อสามารถเข้าถึงได้เพียง 10%  แต่ผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดได้ 100%

 

“การที่จะเข้าช่องทางเทรดดิชั่นอลเทรด จำเป็นต้องเอาโปรโมชั่นมาไดร์ฟตลาดอยู่ เพื่อสร้างการรับรู้ของผู้บริโภค แต่จะเน้นเพียงร้านค้าในหัวเมืองใหญ่เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพราะช่องทางการขายหลักเราเน้นที่โมเดิร์นเทรด ด้วยราคาและโปรดักส์เราวางในแบบพรีเมี่ยม ในอนาคตตั้งเป้ายอดขายให้เป็นสัดส่วนของโมเดิร์นเทรด 70% และเทรดดิชั่นนอลเทรด 30%”

งบการตลาดทั้งปีไว้ที่ 150 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 ช่วงด้วยกัน ได้แก่ ช่วงการสร้างแบรนด์หลังจากเปิดตัวโปรดักส์ช่วง 4 เดือนแรก 40 ล้านบาท ช่วงแคมเปญหน้าร้อน 60 ล้านบาท และช่วงหลังหน้าร้อนอีก 50 ล้านบาท

วางเป้าหมายรายได้ในปีนี้ 300 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาด 20% ในตลาดเอเชียยน ดริ้งค์ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 5% ส่วนภายใน 3 ปีจะมีรายได้ 500 ล้านบาท และ 5 ปี รายได้จะแตะ 1,000 ล้านบาท