“สหมงคลฟิล์ม” เผยเดินหน้าระงับฉาย “Fast and Furious 7” เรียกค่าเสียหาย 1,600 ล้านบาท ยื่นสามทางเลือกให้ผู้สร้าง ผู้จัดจำหน่ายเข้ามาเจรจาพร้อม “จา พนม” เพื่อให้คนไทยสมหวังได้ดูหนังดังในวันที่ 1 เม.ย. วอนเห็นใจอย่าเกลียด แค่ปกป้องสิทธิ์ ไม่เอาหนังฮอลลีวูดมาเป็นตัวประกันจัดการเชือดพระเอกนักบู๊แน่นอน ด้าน Skin Trade โดนฟ้องด้วย
ยังเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณี “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” ได้ยื่นฟ้องจำเลย 3 คน ได้แก่ จา พนม” ทัชชกร ยีรัมย์,บริษัท ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ และบริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ ฟาร์อีสต์ ประเทศไทย จำกัด(UIP) ฐานผิดสัญญาและละเมิดสัญญา และศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับการฉายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “Fast & Furious7” ที่จาแสดงไปก่อน โดยศาลได้นัดคู่กรณีเข้าไกล่เกลี่ยปัญหาดังกล่าวในวันที่ 15 เมษายนที่จะถึงนี้
ล่าสุดวันนี้ ทางสหมงคลฟิล์มได้ส่งทนายความ “นายสุวัฒน์ อภัยศักดิ์” และที่ปรึกษากฎหมายบริษัท สหมงคลฯ “นายมนตรี อมรโรจน์วรวุฒิ” ตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงกรณีขอเดินหน้าระงับฉายภาพยนตร์ Fast & Furious7 ตามคำสั่งศาลและขอโทษคนไทยที่อาจทำให้ผิดหวัง ระบุอย่าเกลียดบริษัทตนเลย เพราะทำตามขั้นตอนตามกฎหมาย ไม่ได้เอาภาพยนตร์ดังกล่าวมาเป็นตัวประกันเพื่อจัดการกับจาแน่นอน
มนตรี : “ผมในฐานะตัวแทนสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ต้องขอกราบขอโทษแฟนๆ ภาพยนตร์เรื่อง Fart 7 ไว้เป็นเบื้องต้นก่อน คือบริษัทเข้าใจดีครับว่าการระงับไม่ให้ฉายภาพยนตร์ในเรื่องนี้จะมีผลกระทบต่อแฟนๆ ภาพยนตร์ซึ่งบริษัทไม่มีความประสงค์ให้ระงับการฉาย แต่เนื่องจากไม่มีทางใดที่จะปกป้องสิทธิ์ที่ดีไปกว่าการกระทำดังกล่าว ซึ่งทางทนายสุวัฒน์เป็นผู้ให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว ส่วนรายละเอียดให้ทนายสุวัฒน์เป็นผู้ชี้แจงในรายละเอียด”
ทนายสุวัฒน์ : “เกี่ยวกับคดีนี้นะครับผมได้ยื่นฟ้องไว้เมื่อวานนี้เป็นสำนวนหมายเลขคดีดำที่ พ 1268/2558 ในข้อหาผิดสัญญาหมายถึงคุณ จา พนม เป็นคนผิดสัญญาและละเมิด ละเมิดนั้นบริษัทยูนิเวอร์แซลพิคเจอร์กับบริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนลพิคเจอร์ หรือเรียกว่า UIP ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่าย บริษัทยูนิเวอร์แซลเป็นบริษัทแม่สร้างภาพยนตร์อยู่ในอเมริกาส่วนการจัดจำหน่ายตะวันออกไกลรวมทั้งประเทศไทยมอบให้ UIP เป็นผู้จัด ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องฟ้องจำเลยทั้ง 3 ส่วนมูลเหตุเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่าคุณจา แต่เดิมแสดงเป็นสตั้นแมนแล้วก็แสดงหนังฟอร์มเล็กๆ มาก่อนต่อมามีคุณ ปรัชญา ปิ่นแก้ว ชักจูงคุณจามาพบกับเสี่ยเจียงเพื่อจะให้ทำหนังฟอร์มใหญ่พอมาเจอเสี่ยเจียงก็บอกว่าจะขอแสดงหนังฟอร์มใหญ่ในการนี้ก็ให้คุณ กฤติยา ลาดพันนา (พันนา ฤทธิไกร) มาเป็นผู้กำกับคิวบู๊เมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อยก็มีการเซ็นสัญญาว่าจ้างเป็นสัญญาจ้างนักแสดงในสังกัด สัญญาจ้างฉบับแรกลงวันที่ 25 กรกฏาคม 2546 เนื้อหาคือเมื่อเป็นนักแสดงในสังกัดแล้วจะทำการแสดงหรือขับร้องหรือกระทำการอื่นใดเกี่ยวกับการแสดงหรือตามสัญญาให้กับบริษัทหรือตามที่บริษัทเห็นสมควรกำหนดเท่านั้น หมายความว่าจะต้องแสดงให้สหมงคลฟิล์มและจะไม่รับแสดงหรือกระทำการดังกล่าวให้บุคคลอื่นทั้งในและต่างประเทศทั่วโลกไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักอักษรล่วงหน้าจากบริษัท”
“หมายความว่าเมื่อคุณจาเซ็นสัญญานี้แล้วคุณจาจะแสดงหนังให้ต่างประเทศหรือใครก็ได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากบริษัท ถ้าได้รับอนุญาตจากบริษัทไม่ว่าจะแสดงหนังโฆษณาซึ่งในอดีตคุณจาก็เคยไปแสดงหนังโฆษณา ซึ่งเสี่ยก็แบ่งผลประโยชน์และกำไรไปให้และในสัญญานี้กำหนดกันไว้ว่าระยะเวลาของสัญญา สัญญาฉบับนี้มีผลผูกพันบริษัทกับนักแสดงครูฝึกผู้ควบคุมเป็นระยะเวลา 10 ปีนับตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2546 ถึง 24 กรกฎาคม 2556 ในวรรค 2 บอกว่ากรณีที่บริษัทมีความประสงค์ที่จะต่อสัญญาออกไปบริษัทจะต้องแจ้งความประสงค์ไปยังนักแสดงครูฝึกและผู้ควบคุมทราบล่วงหน้าก่อนครบกำหนดอายุในสัญญาไม่น้อยกว่า 2 เดือน เมื่อบริษัทได้แจ้งความประสงค์ดังกล่าวแล้วให้ถือว่ามีการต่ออายุสัญญานี้ออกไปตามความประสงค์ของบริษัททันที ก็หมายความว่าก่อนครบกำหนดบริษัทต้องแจ้งให้คุณจาทราบเป็นลายลักษณ์อักษรว่าประสงค์จะต่อสัญญา สัญญานั้นก็จะมีผลต่อไปอีก 10 ปีในการปฏิบัติตามสัญญานี้”
“สหมงคลฟิล์มมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินเดือนให้คุณจาตลอดระยะเวลานอกจากค่าแสดงค่าโฆษณา ค่าอะไรจิปาถะที่จะได้และเปอร์เซ็นต์จากการแสดงภาพยนตร์ เฉพาะเงินเดือนที่ให้คุณจานั้นก็ 50,000 บาท นอกจากเงินเดือน 5 หมื่นแล้วเสี่ยเจียงก็ต้องจ่ายให้คุณปรัชญา ปิ่นแก้ว ซึ่งเป็นผู้ควบคุมอีกเดือนละ 5 หมื่นบาท จ่ายให้คุณ กฤติยา ลาดพันนา อีกเดือนละ 5 หมื่นบาทรวมเฉพาะเงินเดือนของคุณจากับกลุ่มทั้งหมด เสี่ยเจียงต้องจ่ายเดือนละ 1 แสน 5 หมื่นบาท เมื่อได้ตัวคุณจามาเป็นนักแสดงในสังกัดแล้วเสี่ยเจียงก็เริ่มสร้างภาพยนตร์เรื่อง องค์บาก 1 องค์บาก 2 ต้มยำกุ้ง 1 ต้มยำกุ้ง 2 และไอ้หนุ่มกังนัม หนังเรื่องไอ้หนุ่มกังนัมบัดนี้คุณจาเอาเงินไป 26 ล้านแล้ว ทิ้งกองถ่ายไปไม่แสดงไม่ส่งก็อบปี้หนังให้ เสี่ยเจียงก็จ่ายไปแล้วเมื่อได้ตัวนักแสดงตามสัญญาจ้างนี้แล้วนะครับ”
เผยพาชุบตัวปรับภาพลักษณ์กว่า 1 ล้าน 3 แสน แถมซื้อบ้านให้อีก 6 ล้านกว่า ได้รับเงินส่วนแบ่งจากองค์บากอีก 89 ล้าน
“เสี่ยเจียงก็มีหน้าที่ต้องปรับภาพลักษณ์ให้กับคุณจา เอกสารแผ่นต่อไปที่เขียนว่า จ.5 นะครับเป็นรายการค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นค่าเสื้อผ้า 2 แสนกว่าบาทหรือค่าจัดฟันให้คุณจา 3 แสนกว่าบาท ค่าเรียนภาษาอังกฤษอีก 2 แสนกว่าบาท ค่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอีกแสนกว่าบาท ค่าประกันชีวิตอีก 4 แสนกว่าบาท รวมปรับภาพลักษณ์ตามเอกสารเป็นเงินทั้งสิ้น 1,378,695.86 บาท นี่คือสิ่งที่ต้องจ่ายครั้งแรกแผ่นต่อไปเป็นรายได้ของคุณจาที่สหมงคลฟิล์มจ่ายมานะครับ ซื้อบ้านซื้อรถรวมทั้งหมดเป็นเงิน 6,164, 812 บาท ส่วนเงินเดือนคุณจารับจากเสี่ยเจียงตลอดมาตามสัญญา วิธีการชำระเงินให้คุณจาก็โอนผ่านธนาคารโดยอัตโนมัติมาเรื่อยซึ่งคุณจาก็จะเปิดบัญชีธนาคารไว้จะได้เห็นได้ว่าตั้งแต่ 46 ไล่มาจนถึงปี 58 จ่ายมาตลอดอันนี้เฉพาะคุณจานะครับไม่ร่วมคุณปรัชญากับกฤติยาพอได้ตัวคุณจามาแล้วเสี่ยเจียงก็ต้องไปลงทุนจ้างครูมาสอนให้เป็นครูมวยไทยเพื่อใช้ศิลปะมวยไทยให้ครบเครื่องก็เทรนคุณจามาในระหว่างนั้นคุณจาก็แสดงภาพยนตร์ องค์บาก 1-2 ประสบความสำเร็จคุณจาได้เงินส่วนแบ่งไป 89 ล้านเฉพาะจากการแสดงภาพยนตร์ไม่รวมค่าตัว ต่อมาก็ทำองค์บาก 2 แต่ทำไม่เสร็จเพราะมันยาวก็เลยต้องมาแบ่งหนังเป็น 2 ตอนเป็นองค์บาก 2 กับ 3 คือทุนสร้างสูงมาก”
“พอมาองค์บาก 2 คุณจาขอเป็นผู้ควบคุมการสร้างและเป็นผู้กำกับด้วยเหตุนี้หนังก็ช้ามากค่าใช้จ่ายก็เยอะแยะไปหมดแต่เสี่ยเจียงก็กัดฟันทำจนเสร็จ พอมาต้มยำกุ้ง 2 พอหนังจะฉายแกก็ไม่มาปรากฏตัวจากที่พวกเราเห็นข่าวว่าคุณจาไม่มาโปรโมตหนังทำให้ขายสายหนังต่างจังหวัดได้น้อย ขาดทุน พอมาไอ้หนุ่มกังนัมคุณจาก็ขอเป็นผู้กำกับเองและควบคุมการสร้างเองก็เบิกเงินไป 26 ล้านบัดนี้ยังไม่ได้อะไรเลย เมื่อไอ้หนุ่มกังนัมยังไม่ฉายเสี่ยเจียงก็เห็นว่าเมื่อสัญญามันครบ 10 ปีซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 24 กรกฎาคม 2556 ก่อนครบสัญญาแล้วหนังยังไม่ฉาย ยังไม่เสร็จ เสี่ยเจียงก็มีจดหมายฉบับนี้ที่เขียนว่าแจ้งต่อสัญญานักแสดงในสังกัดลงวันที่ 14 พฤษภาคม แจ้งต่อว่าประสงค์ที่จะต่อสัญญาออกไปอีก 10 ปีเพราะภาพยนตร์ไอ้หนุ่มกังนัมยังไม่เสร็จก็แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรไปที่บ้านของคุณจาตามสำเนาบัตรประชาชนตามสำเนาการเสียภาษีและตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในสัญญา”
“ส่งไปที่บ้านทางไปรษณีย์ตอบรับก็มีพี่เป็นคนเซ็นรับ อย่างนี้ถือว่าการต่อสัญญาเสร็จสมบูรณ์แล้วต้องมีผลออกไปอีก 10 ปี หลังจากคุณจาได้รับจดหมายฉบับนี้แล้วต่อมาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ปี 2555 คุณจาก็มาพบเสี่ยมาเจรจาว่าไม่ไปไหน ผมจะอยู่กับเสี่ย มายืนยันขอให้ผมสร้างหนังต่อไปเสี่ยเจียงก็ตกลง ต่อมาเมื่อต่อสัญญาแล้วเสี่ยก็โอนเงินเข้าให้คุณจาตลอดมา ต่อมาหลังจากนั้นประมาณเดือนกันยายน 56 คุณจาก็ปิดบัญชีธนาคารเหมือนว่าไม่อยากให้เราโอนเงินให้ทางฝ่ายกฎหมายของเสี่ยเจียงก็แนะนำว่าในกรณีนี้แสดงว่าทางคุณจาจะเบรกสัญญาแล้ว ฝ่ายกฎหมายก็บอกต้องนำเงินไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดีกระทรวงยุติธรรม ก็นำเงินเดือน 5 หมื่นบาทวางตลอดมาเพื่อเป็นหลักฐานถ้ามีการดำเนินคดีกันเราจะได้ไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญา”
ยันหลังจากรู้ข่าวจาจะไปเล่นหนังต่างประเทศ ได้ส่งจม.ถึงยูนิเวอร์แซลพิคเจอร์ ซึ่งบริษัทสร้างหนังรับรู้เรื่องพันธะสัญญาแต่ยังไม่หยุดสร้างหนัง จึงจำเป็นต้องฟ้องร้องร่วมด้วยฐานละเมิดสัญญา
“ต่อมาเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2556 ทางเสี่ยเจียงก็ทราบข่าวมาว่าคุณจาจะไปแสดงหนังต่างประเทศ มีคนมาติดต่อโดยไม่ขออนุญาตจากสหมงคลฟิล์ม ทางฝ่ายกฎหมายของสหมงคลฟิล์มก็มีจดหมายลงวันที่ 13 กันยายนส่งไปถึงยูนิเวอร์แซลพิคเจอร์ ส่งไปถึงผู้บริหารและฝ่ายกฎหมายส่งไปที่บริษัทควบคุมการสร้าง Fast7 แจ้งไปว่าคุณจายังมีสัญญากับสหมงคลฟิล์มนะ ถ้าคุณจะสร้างก็ควรจะมาคุย ยูนิเวอร์แซลได้รับจดหมายฉบับนี้แล้วจึงส่งอีเมล์กลับมาบอกว่าเรียน ดร.ธีรพล เป็นทนายท่านเดิมของเสี่ยเจียงว่าเขาได้รับแล้วได้กล่าวถึงการติดต่อในจดหมายของท่านกับที่ปรึกษาของคุณจาเพื่อดำเนินการแล้วเขาบอกว่าเขาได้มอบจดหมายฉบับนี้แก่ที่ปรึกษาของคุณจาเพื่อมาแก้ปัญหาเรียบร้อยแล้วและยูนิเวอร์แซลจะไม่โต้ตอบ อีกอย่างไรก็ตามเราขอสงวนสิทธิ์และการแก้ไขความเสียหายและคุ้มครองของเราทั้งหมด แปลว่าเขามีสัญญากับจา เขาก็สงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินคดีกับคุณจา สิ่งที่ส่งไปให้ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าหลักฐานที่เป็นเอกสารโกหกกันไม่ได้เอกสารนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าคุณจารับรู้ว่ามีสัญญาอยู่กับสหมงคลฟิล์ม พอยูนิเวอร์แซลรู้แล้วแต่ยูนิเวอร์แซลไม่หยุดในการสร้างหนัง Fast7 แล้วก็เอาออกโฆษณาต่างๆ แล้วก็ไปเห็นมีคุณจานำแสดงอยู่แปลว่าเขาไม่ได้ถอดคุณจาออกแล้วไม่ดำเนินการตามที่เราร้องขอ เมื่อเป็นเช่นนี้โดยทางกฎหมายถ้าปล่อยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกเผยแพร่ถ้าหนังออกฉายในโรง แล้วพอออกไป 90 วันก็ปั้มแผ่นขาย ขายด้วยวิธีใดๆ การที่นำออกฉายแต่ละครั้งถือเป็นการละเมิดเราตลอดมา”
“เรื่องนี้ถ้าเราฟ้องคุณจาคนเดียวในข้อหาผิดสัญญา ถามว่าจะบังคับยึดทรัพย์อะไรจากคุณจาซึ่งผมคิดว่าไม่มีทรัพย์สินอื่นใดให้ยึดเพียงพอที่จะชำระค่าเสียหายได้ แต่จำเลยที่สองนั้นมีส่วนร่วมในการทำละเมิดแล้วก็เป็นนิติบุคคลต่างประเทศ ยูนิเวอร์แซลจดทะเบียนในอเมริกาส่วน UIP จดทะเบียนที่เกาะฮ่องกงจึงเป็นนิติบุคคล ต่างประเทศมีสำนักงานตั้งอยู่พระราม 4 ก็ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะยึดได้ เขาฉายหนังเสร็จเขาก็ขนเงินกลับประเทศเขาไป แล้วจะบังคับคดีเอากับอะไรดังนั้นทางเดียวเป็นทางเลือกสุดท้ายในข้อของกฎหมายผมจำต้องฟ้อง คือให้ศาลเป็นผู้ตัดสินว่าใครผิดระหว่างคุณจากับเสี่ยเจียงก็ทำการไต่สวนนำข้อเท็จจริงเหล่านี้เสนอศาลเป็นขั้นเป็นตอนจนศาลท่านมองเห็นแล้วว่า คุณจากระทำผิดสัญญากับสหมงคลฟิล์มส่วนจำเลยที่ 2-3 ร่วมกันทำละเมิด”
ยันการฟ้องร้องไร้เรื่องโกรธเคืองกัน แต่ต้องรักษาสิทธิของคนไทย แต่หากเข้ามาแก้ไขข้อตกลงกันได้ ทุกอย่างก็สามารถประนีประนอมได้
“ศาลจึงมีคำสั่งให้คุ้มครองแต่เนื่องจากเป็นคำสั่งของศาลไทยมีอำนาจศาลเฉพาะประเทศไทยเท่านั้นจึงห้ามได้เฉพาะในประเทศไทย ส่วนในต่างประเทศศาลไทยไม่มีอำนาจจึงเป็นที่มาของคำสั่ง ผมอยากจะกราบเรียนให้ทุกท่านทราบเสี่ยเจียงได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ที่จะติดต่อคุณจาให้มาพบ แม้กระทั่งครั้งหลังสุดผมส่งจดหมายไปให้คุณจาที่บ้าน เขาย้ายสำเนาทะเบียนบ้านมาอยู่ปทุมธานีเขาไม่ยอมรับไม่ติดต่อไม่คุยเมื่อติดต่อกันไม่ได้อย่างนี้ก็มีความจำเป็นต้องฟ้องคดีทั้งๆ ที่เรารู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นฟีดแบ็กอาจจะกลับมาไม่ค่อยดี แต่เพื่อรักษาสิทธิของคนไทยซึ่งเรามีสัญญาอยู่ แต่การที่ผมฟ้องไปไม่ใช่ว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกัน ผมกับจำเลยไม่มีการรู้จักเป็นการส่วนตัว ไม่เคยเห็นหน้ากัน ถ้าคุณจาและจำเลยที่ 2-3 มาแก้ไขในสิ่งที่ผิดข้อตกลงอย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างประนีประนอมกันได้ ถ้าเขาติดต่อมา ก็ยินดีเลย มาเลยคนอื่นจะได้ดูหนังไม่งั้นเสี่ยเจียงโดนด่าเละเลย แต่ถึงตอนนี้ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามา สหมงคลฟิมล์มไม่ขาดการติดต่อแน่นอนมีตึกอยู่แน่นอนไม่ได้ไปไหนเลยแต่จา พนม หาตัวไม่เจอ ติดต่อไม่ได้นานมากแล้วครับตั้งแต่ทิ้งไอ้หนุ่มกังนัมไป ก็เพิ่งทราบเมื่อวานว่าเขามาเมืองไทยแล้ว”
ลั่นจาเล่นหนังเรื่องไหนก็เดินหน้าฟ้องเรื่องนั้น รวมทั้งหนังเรื่อง Skin Trade หากไม่เข้ามาเจรจา
“สำหรับ Skin Trade ที่คุณจาไปแสดง ถ้าไม่มีการเจรจากันผม ผมตามฟ้องทั้งหมดแหละครับ ถ้าเล่นเรื่องไหนฟ้องเรื่องนั้น ฟ้องก่อนฉายแน่นอนคือให้เราได้หลักฐานชัดๆ เพราะผมรู้ยังว่าเขามีในหนัง ตอนแรกเราไม่รู้เพราะหนังโฆษณายังไม่ออก แล้วมาถึงเมืองไทยต้องเซ็นเซอร์ก่อนว่ามีไหม มีสายข่าวเราไปดูก่อนว่ามีไหม ถ้ามีเราถึงจะฟ้อง เพราะถ้าไม่มีเขาแสดงเราฟ้องเขาละเมิดไม่ได้ แต่ถ้าพิสูจน์ว่ามีจาแสดงด้วย ถึงจะฟ้องละเมิดได้ ส่วนเขาจะถูกตัดออกจากหนังไหมผมไม่รู้นะ เพราะผมคงเดาใจไม่ได้ เขาก็มีสองทางเลือก ว่าเลือกมาเจรจากับเรา แล้วพาจามาด้วย ผมก็จะถามจาด้วยว่าเงิน 26 ล้านที่เอาไปเป็นทุนสร้างหนัง ตกลงจะเอายังไง จะคืนเงินมาให้ แล้วเลิกสัญญากันหรือยังไง คนเราถ้าใจไม่รักกันนะ ต่อให้มีทะเบียนสมรสก็เอาไม่อยู่ จริงไหม ไอ้นี่มีสัญญา ถ้าใจจาไม่อยู่ก็คงไม่อยู่ ถ้าไม่อยู่จะเลิกสัญญากันไปโดยดีได้ไหม จะเลิกยังไง ค่าเสียหายต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นจะทำอย่างไร เสี่ยเจียงใช้เงินลงทุนในการสร้างจาในหนังองค์บาก 1 และ 2 พวกเราก็รู้ใช้เงินหลายพันล้านเลยนะ แล้วก็อดทนกับคุณจา ขอเป็นผู้กำกับก็ให้ ขอเป็นผู้ควบคุมการแสดงเองก็ยอม จะเอาสลิงมารั้งตัวก็ยอม ทั้งที่บอกว่าหนังไทยไม่ใช่หนังฮ่องกงเอาสลิงมารั้งตัวมันไม่ใช่ศิลปะมวยไทย เสี่ยเจียงก็อดทนยอมนะ”
“ก่อนหน้านี้เราไม่เคยฟ้อง นี่เป็นคดีแรก ถ้าฟ้องอีกจะกลายเป็นฟ้องซ้ำ ถ้าจะเป็นการฟ้องต้องฟ้องในเรื่องอื่น ในประเทศเราในหลักกฎหมาย ความผิดครั้งเดียวจะฟ้อง ดำเนินคดีได้ครั้งเดียว ถ้าคุณฟ้องครั้งที่หนึ่ง คุณฟ้องครั้งที่สองเขาเรียกว่าฟ้องซ้ำคุณฟ้องซ้อน ศาลจะไม่รับฟ้อง เรื่องอื่นๆ ก็มีแต่ผมไม่ได้เป็นคนทำ คือในสัญญาจะเห็นว่าเมื่อสร้างแล้วในเวลาโปรโมตหนังต้องให้ความร่วมมือ นี่ถ้าไม่ให้ความร่วมมือเขาก็ฟ้องเอา”
“เราก็มีสามทางเลือกให้เขา ว่ามาคุยกันว่าเงิน 26 ล้านที่เอาไปจะว่ายังไง และค่าเสียหายของสหมงคลฟิล์มคุณจะเอายังไง นี่คือทางที่หนึ่ง ทางที่สองคือตัดบทแสดงทางคุณจาออก หรือเข้าสู้คดีกับเรา เป็นสามทางเลือก ถ้าเข้าสู้คดีกับเราก็ไม่ได้ฉาย หรือฉายแล้วต้องตัด ซึ่งผมเข้าใจว่าหนังมันต้องมีสตอรี่บอร์ดอยู่แล้ว มันมีตัวละคร ถ้าไปตัดออกคงเสียอรรถรส ซึ่งเบื้องต้นศาลยังไม่ได้นัดไกล่เกลี่ย เมื่อวานนี้วันที่ผมไปฟ้อง ก็มีหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวคือไทยโพสต์ไป ผมก็บอกว่าหนังเรื่องนี้หนังนัดชี้สองสถานคือกำหนดประเด็นว่าโจทก์ฟ้องมาอย่างนี้ จำเลยให้การอย่างนี้ ใครมีประเด็นว่ายังไง จาทำผิดสัญญาหรือไม่ ใครร่วมละเมิดหรือไม่ ค่าเสียหายโจทก์มีเพียงใด นัดชี้ 2 สถาน 16 มิถุนายน เวลา 9 โมง”
บอกคู่กรณีฟ้องกลับไม่ได้ เพราะมั่นใจในหลักฐานไม่ได้ฟ้องอีกฝ่ายด้วยข้อความเป็นเท็จ
“ไม่ได้ครับ เพราะที่เราฟ้องไป จำเลยที่สองเป็นผู้สร้าง จำเลยที่สามเป็นผู้จัดจำหน่ายอยู่แล้ว ดังนั้นคุณก็ยื่นคำให้การมา แล้วถ้าคุณคิดว่าเสียหาย เราไปฟ้องอะไรคุณซึ่งเป็นเท็จคุณก็ฟ้องเรามาว่าเราฟ้องเท็จนะครับ ซึ่งผมยืนยันเลยว่าผมฟ้องไปไม่มีอะไรเป็นเท็จ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีใครต่อมาเลย”
วอนอย่าเกลียดสหมงคลฯ เพราะแค่ออกมาปกป้องสิทธิ์ตนเอง และไม่เอาหนังเรื่องดังกล่าวมาเป็นตัวประกันเพื่อจัดการจาแน่นอน
“คือเราไม่ได้เป็นเจ้าของหนัง เราไปแตะอะไรเขาไม่ได้ แต่ที่เราต้องทำเราทำในฐานะคนไทยอยู่ในประเทศไทย เราถูกละเมิดโดยฝรั่ง คุณข้ามชาติมาซึ่งเราบอกแล้วว่าอย่านะ พ่อเจ้าพระคุณ อย่าสร้างเลย เขาก็ยังสร้าง ทีนี้ต้องคิดถึงว่าโดยหลักของกฎหมายเราต้องนึกถึงเหยื่อ เหยื่อคือผู้เสียหาย กับผู้กระทำ เรื่องนี้ใครเป็นผู้กระทำ ใครเริ่ม ใครที่ออกมาปกป้องสิทธิ์ เราไม่ได้เอาปืนไปไล่ยิงหัวเขา เราใช้สิทธิ์ฟ้องคดีตามกฎหมาย นั่นคือสิ่งที่เราทำซึ่งดีที่สุด ถ้าเราหมั่นไส้มันจ้างคนไปยิงหัวมันเลยอย่างนี้เราไม่มีคุณธรรมแต่ถ้าเราใช้สิทธิทางศาล มันเป็นวิธีการที่ผู้ดีจะสู้กัน เราไม่รู้จะทำอย่างอื่นอย่างใด”
“เราก็อยากจะขอร้องคนไทยอย่าเกลียดเราเลย ถ้าเราออกมาปกป้องสิทธิ์ตัวเอง วันหนึ่งหากคุณถูกละเมิด มีโจรมากระชากสร้อย แล้วไปแจ้งความ ตำรวจบอกว่าโจรนี่มันจน แบ่งกันไม่ได้เหรอ คุณจะทำยังไง ที่บอกว่าเอาหนังเรื่องนี้มาเป็นตัวประกันเพื่อจัดการปัญหาที่ค้างคากับจา สหมงคลไม่มีปัญหาส่วนตัวนี่ครับ เราก็ฟ้องจาไงครับ ใครกระทำเรา ใครเตะเรา เราก็ฟ้องคนเตะ จาเป็นคนผิดสัญญากับเรา เราก็จัดการหวดจา ส่วนจำเลยที่สองที่สามมาร่วมหวดด้วย เราก็จำเป็นต้องฟ้อง ทำไงอ่ะ”
“ต่อจากนี้หนังก็ต้องระงับฉายตลอดครับ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จริงๆ ผมพูดตั้งแต่ต้นๆ ว่าเราฟ้องเขาเป็นเลขคดีดัง พ.1286/2558 ฟ้องจำเลย 3 คน มีคุณจา มียูนิเวอร์แซลพิคเจอร์ มียูไอพี โดยฟ้องละเมิดเรียกค่าเสียหาย 1,600 กว่าล้านตามคำฟ้อง แล้วในการนี้เราไต่สวนฉุกเฉินขอคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวานนี้ศาลได้มีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราว ห้ามไม่ให้ฉายหนัง ดังนั้นตอนนี้เรานำส่งหมายไปถึงจำเลยเขาแล้ว เขาจะต้องหนึ่งเข้ามาเจรจากับเรา หรือสองสู้คดีกับเรา ซึ่งแล้วแต่เขาจะเลือก แต่ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะขอร้องเขาว่าเข้ามาเจรจากันเถิดแฟนหนังที่อยากดูก็จะได้ดูในวันที่ 1 เมษานี้ จะได้ไม่อารมณ์ค้างมาด่าผม(หัวเราะ)”