Review : Jawbone Up Move เม็ดจิ๋วคอยนับก้าว

Jawbone Up Move ถือเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของ Jawbone ที่ออกมาจับตลาดกลุ่มผู้ที่ต้องการใช้งาน Activity Tracker หรือ อุปกรณ์ที่จะคอยวัดกิจกรรมในแต่ละวันอย่าง ก้าวเดิน การนอนหลับ การออกกำลังกาย เพื่อนำมาคำนวนผลภายในแอปพลิเคชันช่วยให้ผู้ใช้รักษาสุขภาพ

       จุดเด่นของ Up Move จะอยู่ที่ขนาดที่เล็กทำให้พกพาติดตัวได้ง่าย และที่สำคัญคือเลือกวิธีการพกพาได้หลากหลายกว่า Up หรือ Up 24 เนื่องจากออกแบบมาเป็นทรงกลมเล็กๆ ที่สามารถนำมาใส่กับสายรัดไว้ที่ข้อมือหรือนำไปติดกับคลิปหนีบเพื่อติดตามส่วนอื่นของเสื้อผ้าก็ได้ โดยแบตเตอรีสามารถใช้งานได้นานถึง 6 เดือน

      
การออกแบบและสเปก

อย่างที่กล่าวไปแต่แรกว่า Jawbone Up Move ถูกออกแบบมาให้พกพาได้สะดวก ด้วยรูปลักษณ์ทรงกลม เหมือนเป็นกระดุมขนาดเล็ก ที่มีขนาดรอบตัวอยู่ที่ น้ำหนักราว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้จะเลือกใส่กับคลิปหนีบ หรือสายรัดข้อมือ

เมื่อใส่เข้าไปในคลิปหนีบ Up Move จะเป็นเหมือนอุปกรณ์ติดตามตัวทั่วไป โดยการยึดติดถือว่าค่อนข้างแน่นหนา จากการที่ตัวคลิปหนีบทำจากยาง และค่อนข้างแข็ง ทำให้เมื่อหนีบกับชุดที่สวมใส่ก็จะยึดติดอยู่ตลอดเวลาไม่กลัวตกหล่น

ขณะที่ถ้าใช้งานเป็นสายรัดข้อมือ (มีให้เลือกหลายสี) ก็จะใส่ไว้ที่ข้อมือได้เหมือนนาฬิกาทั่วไป และด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา และมีขนาดเล็กทำให้ใส่แล้วไม่รู้สึกรำคานมากนัก ที่สำคัญคือสามารถใช้ใส่ติดตัวได้ตลอดเวลาแม้ตอนอาบน้ำ เพราะตัว Up Move ทำมาให้กันน้ำได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถใส่ว่ายน้ำได้

      
ในส่วนของหน้าปัด จะมีไฟ LED ที่สามารถบอกสถานะการใช้งาน และไฟแสดงเวลาได้ โดยใช้การกระพริบของไฟเพื่อบอกสถานะต่างๆ โดยใช้ทิศทางของเข็มนาฬิกาในการบอกข้อมูลต่างๆ สำหรับสเปกภายในของ Up Move จะมีเซ็นเซอร์ X-Motion เป็นหลัก และช่องใส่แบตเตอรีที่สามารถใช้เหรียญหมุนออกมาได้

เมื่อหมุนออกมาจะพบกับแบตเตอรีแบบเม็ดกระดุม ขนาด cr2032 ซึ่งภายในกล่องจะมีอุปกรณ์ที่เป็นแผ่นพลาสติกมาให้ใช้หมุนด้วย และภายในของตัวเครื่องก็จะมีชื่อแบรนด์ กับสถานที่ผลิต ทั้งนี้ในการใส่คืนจะมีร่องให้หมุนกลับตามจุดสัญลักษณ์ เพื่อป้องกันกรณีโดนละอองน้ำด้วย

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ

ภายในตัว Up Move จะมีจุดที่น่าสนใจอยู่หลักๆ 3 ส่วนด้วยกันคือ การนับก้าว และการวัดนอน ที่สามารถสลับโหมดได้ด้วยการกดหน้าปัดค้างไว้สักพัก จนมีไฟกระพริบรอบๆหน้าจอ หลังจากนั้นก็จะมีสัญลักษณ์รูปคนเดินสำหรับการวัดก้าวเดิน และพระจันทร์ขึ้นสำหรับการวัดนอน

      
โดยขณะอยู่ในโหมดใดก็ตาม ถ้ากดหน้าจอ 1 ครั้ง จะมีการแสดงผลเป็น % ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแต่ละวันอย่างสมมุติตั้งเป้าหมายเดินไว้ 10,000 ก้าว เมื่อเดินไป 4,000 ก้าว เมื่อกดหน้าปัดก็จะมีไฟกระพริบบอกที่สี่นาฬิกา คิดเป็น 40% เช่นเดียวกับการนับช่วงเวลาการนอนก็จะมีการแสดงผลใกล้เคียงกัน

      
ถัดมาคือการกดที่หน้าจอติดกัน 2 ครั้ง จะเป็นการแสดงผลนาฬิกา โดยจะมีการกระพริบหน้าจอ 2 ครั้ง ครั้งแรกบอกชั่วโมง ครั้งที่ 2 บอกนาที โดยจะเป็นเวลาแบบประมาณการณ์ +- ใน 5 นาที ตามช่องเข็มนาฬิกาทั้ง 12ช่องนั่นเอง

      
สุดท้ายคือ การจับช่วงเวลาการทำกิจกรรม โดยการกดที่หน้าจอ 2 ครั้ง เพียงแต่เมื่อกดครั้งที่ 2 ให้กดปุ่มค้างจนมีไฟกระพริบรอบๆหน้าปัด เพื่อเข้าสู่โหมด Activity Tracker ในช่วงที่ออกกำลัง เมื่อเสร็จจากช่วงเวลาดังกล่าวก็ให้กดซ้ำแบบเดิมเพื่อเข้าสู่โหมดนับก้าวปกติ หลังจากนั้นค่อยเข้าไปเลือกรูปแบบกิจกรรมภายในแอปบนสมาร์ทโฟน

แน่นอนว่า การใช้งานหลักอื่นๆต้องไปใช้งานบนแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้ทั้ง iOS และ Androidสามารถเข้าไปดาวน์โหลด UP ได้จากในสโตร์เพื่อติดตั้งและเชื่อมต่อ Up Move เข้ากับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ4.0

      
โดยตัวแอปพลิเคชัน UP จะรองรับอุปกรณ์ในส่วนของ Fitness Tracker จาก Jawbone ทุกรุ่นอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเคยใช้งาน Jawbone Up รุ่นอื่นๆมา ก็จะมีอินเตอร์เฟสการใช้งานใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลเป้าหมายการเดินหรือนอนในแต่ละวันเป็นเปอเซนต์

ที่มีเพิ่มขึ้นมากับแอปรุ่นใหม่ตัวนี้คือเรื่องของการ Coach หรือการแนะนำการออกกำลังกาย แน่นอนว่าผู้ใช้จำเป็นต้องเข้าไปตั้งค่าก่อนว่า เป้าหมายในการนอน อยู่ที่เวลากี่ชั่วโมง โดยจะมีค่ามาตรฐานมาให้อยู่ที่ 7-9 ชั่วโมง ขณะที่จำนวนก้าวเดินก็จะมีค่ามาตรฐานมาอยู่ที่ 10,000 ก้าว สุดท้ายเป็นการตั้งค่าน้ำหนัก โดยในจุดนี้จะมีให้เลือกด้วยว่าต้องการลดน้ำหนัก เพิ่มน้ำหนัก หรือควบคุมน้ำหนัก

หน้าจอแสดงผลสามารถกดเข้าไปดูสถิติย้อนหลังได้ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือนว่ามีช่วงใดถึงเป้าหมายที่กำหนดบ้าง นอกจากนี้กรณีที่ไม่ได้มีการตั้ง Activity แต่มีการเคลื่อนไหวติดต่อกัน ตัวแอปก็จะขึ้นมาให้ตั้งเช่นเดียวกันว่าช่วงเวลาดังกล่าวไปทำอะไรมา

ในขณะที่กำลังออกกำลังกาย เมื่อเข้าสู่ Activity Mode ที่จะทำการจับเวลาแล้ว ภายหลังจากออกกำลังกายเสร็จผู้ใช้สามารถเข้ามาตั้งค่าได้ว่าไปทำกิจกรรมใดมา ไม่ว่าจะเป็นเดิน ยกน้ำหนัก วิ่ง ครอสเทรนนิ่ง เดินขึ้นเขา คาดิโอขี่จักรยาน โยคะ เล่นเครื่องกีฬา พิลาทิส บาสเกตบอล ว่ายน้ำ เทนนิส เต้น ฟุตบอล สกี หรือจะใส่ชนิดกีฬาเพิ่มเองก็ได้

ถัดมาคือการเลือกว่ากิจกรรมที่ออกไปอยู่ในระดับเท่าใด มีให้เลือกตั้งแต่ Easy Moderate In The Zone Difficult และ Gut Buster รวมไปถึงการเลือกตั้งระยะเวลาที่เริ่ม คิดเป็นกี่นาทีเป็นต้น ซึ่งปริมาณเหล่านี้จะถูกนำไปคำนวนด้วยแอปทั้งหมด เพื่อช่วยให้สามารถทำกิจกรรมได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ภายในแอปนอกจากตั้งเป้าจำนวนก้าว และชั่วโมงการนอนแล้ว ผู้ใช้สามารถเข้าไปกรอกข้อมูลอาหารที่ทานได้โดยจะมีทั้งการค้นหาจากฐานข้อมูลของ Up หรือจะกรอกข้อมูล พร้อมถ่ายภาพอาหารเข้าไปใหม่ก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้การสแกนบาร์โค้ดเพื่อเข้าถึงข้อมูลอาหารต่างๆได้ เพียงแต่ในประเทศไทยอาจจะยังไม่รองรับ

สุดท้ายมาดูกันในส่วนของการตั้งค่า จะมี 2 ส่วนคือบริเวณปุ่มมุมขวาบน ไว้สำหรับกดดูว่ามีการเชื่อมต่อข้อมูลกับUp Move ครั้งล่าสุดเมื่อใด และสามารถเข้าไปดูรายละเอียดตัว Up Move หรือเข้าไปทำการเชื่อมต่อใหม่ หรือลบข้อมูลก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกตั้งโหมดการนอน โหมดจับเวลา และตั้งการแจ้งเตือนต่างๆได้ด้วย

      
อีกฝั่งหนึ่งคือการเข้าไปตั้งค่าที่จะมีให้เลือกทั้งข้อมูลส่วนตัวอย่างเป้าหมาย และน้ำหนักที่กล่าวไป กับค่าความเป็นส่วนตัวในการแชร์ข้อมูล ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามีการเชื่อมต่อกับโซเชียลเน็ตเวิร์ก และมีเพื่อนใช้งานร่วมกันก็จะเกิดเป็นคอมมูนิตี้ขึ้นมา และนำค่าต่างๆมาวัดแข่งขันกันได้

      
นอกจากนี้ก็จะมีให้เลือกตั้งค่าการแจ้งเตือน รวมไปถึงการเลือกเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันสุขภาพอันอื่นๆที่เป็นพันธมิตรกัน เพื่อช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

      
จุดขาย
      
– ตัวแอปพลิเคชันได้มาตรฐาน พร้อมฟังก์ชัน Coach ที่จะคอยแนะนำตลอด
– สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการพกพาได้ทั้งคลิปหนีบ หรือเป็นสายรัดข้อมือ
– ใช้งานได้ต่อเนื่องราว 6 เดือน โดยสามารถเปลี่ยนแบตได้ด้วยตนเอง
– ราคาจับต้องได้
      
ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่
      
– มีการตัดฟังก์ชันอย่างการแจ้งเตือนออกไป ทำให้เลือกเป็นแค่อุปกรณ์วัดสุขภาพเท่านั้น
– กันน้ำได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถแช่น้ำได้
      
ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
      
ด้วยการที่ Jawbone ต้องการออกผลิตภัณฑ์ที่มาจับกลุ่มผู้ใช้งานระดับเริ่มต้น จึงเกิดเป็น Up Move ขึ้นมา ในการเจาะตลาดผู้ที่ต้องการอุปกรณ์เพื่อจับการเคลื่อนไหวเป็นหลัก ในราคา 2,590 บาท ไม่ใช่กลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการสมาร์ทวอช เพราะเชื่อว่าในอนาคต Jawbone ก็จะมีผลิตภัณฑ์ในระดับไฮเอนด์ตัวอื่นเข้ามาจับตลาดนั้นอยู่แล้ว

      
ทำให้ความสามารถของ Up Move เองแทบจะโดนจำกัดลงเหลือแค่การนับก้าว วัดการนอน และจับกิจกรรมรวมกับการดูนาฬิกาเท่านั้น แต่ก็แลกมากับการใช้งานแบตเตอรีที่ยาวนานขึ้น โดยทาง Jawbone เคลมไว้ว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องราว 6 เดือน ซึ่งถ้าแบตหมดก็สามารถถอดเปลี่ยนได้ ไม่จำเป็นต้องเสียบกับสายชาร์จเพราะใช้แบตเตอรีขนาดมาตรฐานที่มีขายทั่วไป

      
ดังนั้น ถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้งานที่รักสุขภาพ ไม่ได้เน้นความไฮเทคเป็นพิเศษ ก็เชื่อว่า Up Move จะตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าต้องการอุปกรณ์เพื่อการตรวจจับที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้อย่างการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ การแจ้งเตือนข้อมูลต่างๆจากสมาร์ทโฟน ก็จะมีตัวเลือกอื่นๆในตลาดอีกพอสมควร

Company Related Links :
Jawbone

ที่มา : http://manager.co.th/CBizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9580000048508